วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2561

วันอาทิตย์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ประวัติ BMW ฉลามโหดจากเยอรมัน !!




Friedrich Karl Rapp คือชื่อของผู้ก่อตั้ง BMW   หนึ่งของโลกที่ใหญ่ที่สุด บริษัท ผลิตรถยนต์ทั่ว BMW หรือชื่อเต็มในภาษาเยอรมันว่า  Bayerische Motoren Werke (Bavarian Motor Works) ก่อตั้งขึ้นในปี 1916 เป็นผู้สืบทอดที่ Rapp มอเตอร์

หลายคนคิดว่าโลโก้ของ BMW มาจากใบพัดสีขาวหมุนเห็นพื้นหลังของสีฟ้าที่ นี้อาจจะให้ แต่ในความเป็นจริงมันเป็นที่รู้จักกันว่ายังมาจากธงสีขาวและสีฟ้าของบาวา เรีย  รัฐใหญ่ที่สุดของเยอรมนี เมืองหลวงของรัฐคือมิวนิ คและเป็นสถานที่ที่แม้วันนี้เราสามารถหาสำนักงานใหญ่ BMW
ในปี 1916 ด้วยรากฐานของ บริษัท สัญญาเป็นหลักประกันสำหรับการสร้างเครื่องมือ V12 เครื่องมือเหล่านี้จะถูก ใช้ในการสร้างรถยนต์จาก Austro – Daimler นี้ 12 ถังเครื่องยนต์ V ที่ใช้เป็นครั้งแรกในเครื่องบินซึ่งเป็นแผนเดิมของ บริษัท BMW การบัญชีเวลาที่ บริษัท ได้ก่อตั้งขึ้นเป็นอย่างมากจะให้พวกเขาต่อไปเช่นนั้น

แต่ใน 1919 หลังสงครามโลกครั้งและสนธิสัญญาแวร์ซายการผลิตเครื่องบินในประเทศเยอรมนีได้ ห้ามและที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วการเมืองของ BMW พวกเขาเริ่มทำเบรกสำหรับ การขนส่งทางรถไฟ หลังจากที่ BMW ก็สามารถออกแบบเครื่องยนต์รถจักรยานยนต์ซึ่งใช้สำหรับการสร้างรถมอเตอร์ไซค์ ที่มีชื่อเรียกว่ารุ่น Victoria Victoria แต่ไม่ได้สร้างโดย BMW แต่ บริษัท อื่นใน Nuremberg

1924 BMW ทำในรูปแบบของรถจักรยานยนต์ที่เป็นครั้งแรกหนึ่งพวกเขาสร้าง  R32 นี้เป็นจุดเปลี่ยนใน ประวัติศาสตร์ BMW เพราะมันเป็นความสำเร็จที่สำคัญและทศวรรษที่พวกเขาใช้เทคโนโลยี 500 ซีซีของเครื่องยนต์เย็นลงโดยอากาศ หลังจากที่ BMW เพิ่มหนึ่งนวัตกรรมใหม่ driveshaft มาแทนสายสำหรับการขับขี่ ที่ล้อหลังและเป็นเครื่องหมายของ BMW สำหรับค่อนข้างบางเวลา
ในเยอรมันเมือง Eisenach ในปี 1927 เริ่มผลิต Dixi  ภายใต้ใบอนุญาต แต่เพียงหนึ่งปีหลังจากที่ บริษัท Dixi ถูกซื้อโดย BMW และพวกเขาเริ่มผลิตมวลร่วมกับรุ่น Austin Seven

เมื่อสงครามโลกครั้งที่ เริ่ม BMW เอาสถานที่ในนั้นเพราะทางฝ่ายกองทัพของเยอรมัน พวกเขาใช้ BMW R75 พร้อมกับ BMW R12 เพราะต้องสูงของเครื่อง ยนต์ BMW บันทึกที่ระยะเวลาเป็นผลกำไรสูง BMW เป็นผู้ผลิตหลักและแม้คำนี้เช่น Wehrmacht Luftwaffe และนำความทรงจำมากมาย ของเครื่องบินที่ดีที่สุด ในครั้งประวัติศาสตร์ที่ใช้ BMW เครื่องยนต์ – Aero และจนถึง 1945 กว่า 30 000 เครื่องบินกับเครื่องมือเหล่านี้ผลิต

BMW ได้ทำวิจัยซึ่งทำให้ บริษัท เพื่อให้เครื่องยนต์เจ็ทที่แตกต่างกันสำหรับอาวุธ ด้วยการใช้อำนาจบางคนซึ่ง ประกอบด้วยส่วนใหญ่นักโทษของสงคราม BMW ที่ทำอาวุธจรวดตามจำนวนมากที่ถูกใช้ในสงคราม
หลังจากการสร้างอาวุธจรวด ตามส่วนของ บริษัท มี bombed โซเวียตวอดส่วนใหญ่ของ บริษัท ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกของเยอรมนีและโรงงานฐานในมิวนิคถูกทำลายเกือบสมบูรณ์
หลังจากสงคราม BMW ไม่สามารถกู้คืนได้อย่างรวดเร็วเพราะต้องสร้างโรงงานในมิวนิคที่ หลังจากที่เมื่อข้อ จำกัด จากพันธมิตรที่ใช้กับ BMW ถูกห้ามยาวสามปีที่ บริษัท ถูกห้ามจากการผลิตรถจักรยานยนต์และรถยนต์จน 1948 ถึง 1952

ใน 1951 บริษัท บาวาเรียก็สามารถคืนเครื่องหมายการค้าและมันดูเหมือนเป็นที่สุดสามารถกู้และ เริ่มต้นใหม่จากสิ่งที่เหลือ ในปี 1959 Herbert Quandt กลายเป็นล้อ”ที่เปิด BMW รอบเพราะเขาปฏิเสธจัดการกับ Daimler – Benz และทันทีหลังจากที่เขาเพิ่มขึ้นของหุ้นใน บริษัท BMW ได้ถึง 50%
ชื่อของ Kurt Golda เป็นดังคนที่ incited Quandt ทำขั้นตอนนี้และในปีเดียวกัน BMW เริ่มผลิตของ BMW 700 ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของ BMW 600 นี้รถยนต์ขนาดเล็กใช้ 2 สูบอากาศเย็นเครื่องยนต์และหลายปีต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น LS” Coupe และชุดรถคับเบรียเลต์บางคนยังผลิต

ในปี 1963 BMW เสนอเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นของ บริษัท และในปี 1966 โรงงานในมิวนิคมาถึงความจุสูงสุดและ BMW ซื้อ Hans Glas GmbH ข้อนี้ใช้ BMW เพื่อใช้ในโรงงาน Landshut และ Dingolfing
กับรูปแบบใหม่ที่ให้ Bertone ในปี 1972 BMW เริ่มผลิตชุดใหม่ 5 และในปีต่อ บริษัท ที่ทำก้าวหน้าใหญ่ในตลาด 6 ปีภายใต้การนำของ Bernd Pischetsrieder BMW ได้สามารถขยายการจัดการในตลาดโดยการซื้อจาก British Aerospace Rover Group ประวัติ Rover กลุ่มเริ่มต้นในปี 1986 และจนถึงขณะเมื่อ BMW มันเป็นของ บริษัท นี้ก็สามารถบรรลุสิ่งหลายอย่างเช่น Rover 400 ในปี 1990


แต่ Rover ถูกขายให้กับ Phoenix Holdings Venture และ Ford Motor Company เพราะบางปีขาดทุน BMW ตลกกดเรียก Rover”ผู้ป่วยอังกฤษ”หลังจากที่ออกภาพยนตร์ที่คนชื่อซ้ำกับคนอื่น นี้ แต่ไม่ยากที่ BMW และพวกเขาได้งดเว้นจากการตำหนิ ดูเหมือนว่าแม้แต่กด British ไม่มากกระตือรือร้นเกี่ยวกับ Rover
BMW เริ่มผลิตนอกประเทศเยอรมนีในปี 1994 โรงงานใหม่ที่ทำใน South Carolina และวันนี้ยังผลิต BMW X5 และ BMW Z4 ทำมี มีโรงงานในสถานที่อื่น ๆ บางอย่างก็เป็นเช่น Oxford, Goodwood และอื่นๆ หลังจากเวลาในการชุมนุม BMW เริ่มผลิตในแอฟริกาใต้ ส่งออกวันนี้ BMW กว่า 50 000 3 คัน Series ปีญี่ปุ่น, อเมริกา, แอฟริกา, ออสเตรเลียและตะวันออกกลาง
เพื่อรองรับตลาดในยุโรป ตะวันออกและตะวันออกกลาง BMW วางแผนที่จะเริ่มการก่อสร้างโรงงานใหม่หรืออยู่ในไซปรัสกรีซ พืชใน Chennai, อินเดียแล้วเปิดการผลิตในปี 2007

ประวัติ MERCEDES-BENZ ค่ายดาวสามแฉก จากฝั่งยุโรป !!


เมร์เซเดส-เบนซ์ หรือที่คนไทยนิยมเรียกกันสั้น ๆ ว่า เบนซ์ นับเป็นรถเยอรมันุคณภาพเยี่ยมอีกยี่ห้อหนึ่ง สัญลักษณ์ของรถยี่ห้อนี้ เป็นรูปดาวสามแฉกล้อมรอบด้วยวงกลม ผู้ผลิตรถเมร์เซเดส-เบนซ์ คือ บริษัท ไดมเลร์-เบนซ์ อาเก ( DAIMLER-BENZ AG) แห่งเยอรมนี ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์เก่าแก่และมีประวัติความเป็นมาของรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์สันดาป ภายใน บริษัท ไดมเลร์-เบนซ์ อาเก ถือกำเนิดในปี 1926 โดยเป็นผลลัพธ์จากการรวมตัวของผู้ผลิตรถยนต์สองรายที่มีบทบาทอย่างสำคัญต่ออุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ยุคบุกเบิก คือ บริษัท DAIMLER MOTORENGESELLS- CHAFT ซึ่ง โกทท์ลีบ ไดมเลร์ (GOTTLIEB DAIMLER) ผู้ได้ชื่อว่าเป็น ผู้ประดิษฐ์รถยนต์สี่ล้อคันแรกของโลก ก่อตั้งเมื่อปี 1890 กับบริษัท BENZ & CIE ของคาร์ล เบนซ์ (CARL BENZ) ผู้ได้ชื่อว่าเป็นนักประดิษฐ์คนสำคัญของโลกที่ผลิตรถยนต์ออกจำหน่าย และขณะที่รวมกิจการเข้าด้วยกันโกทท์ลีบ ไดมเลร์ได้เสียชีวิตไปแล้วประมาณ 10 ปี
ส่วนชื่อ เมร์เซเดส (MERCEDES) ซึ่งเป็นชื่อยี่ห้อรถนั้น มีจุดเริ่มต้นในปีที่โกทท์ลีบ ไดมเลร์ถึงแก่กรรมเมื่อ วิลเฮล์มมายบัค (WILHELM MAYBACH) ผู้สืบทอดกิจการจากโกทท์ลีบ ไดมเลร์ได้ตั้งขื่อรถขนาด 35 แรงม้า ที่ส่งเข้าแข่งขันและได้รับชัยชนะที่เมืองนีศ ในประเทศผรั่งเศสว่า “เมร์เซเดส” ตามชื่อธิดาคนโตของเอมิลเจลลิเนค (EMIL JELLNEK) นายธานคารชาวออสเตรียซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายรถให้แก่ไดมเลร์ในขณะนั้น และนับแต่นั้นเป็นต้นมาชื่อเมร์เซเดสก็ได้กลายชื่อยี่ห้อรถของไดมเลร์ ครั้นเมื่อรวมกิจการเข้ากับเบนซ์ในอีก 26 ปีต่อมา รถที่บริษัทใหม่นี้ผลิตออกจำหน่ายก็ใช้ชื่อ “เมร์เซเดส-เบนซ์” และใช้เครื่องหมายดาวสามแฉกล้อมรอบด้วยวงกลมเป็นสัญลักษณ์ติดต่อกันมาตราบจนปัจจุบัน ไดมเลร์-เบนซ์ นับเป็นตัวอย่างที่ดีของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ ที่สามารถประยุกต์ขบวนการผลิตแบบ MASS PRODUCTION หรือ “มวลผลิต” เข้ากับการผลิตรถระดับหรู หรือ EXOTIC CAR ปัจจุบัน ไดมเลร์-เบนซ์ มีฐานะเป็นบริษัทอุตสาหกรรมที่มียอดขายสูงสุดของเยอรมนี
ในปี 1990 ไดมเลร์-เบนซ์ ทำยอดขายได้รวมทั้งสินประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท และนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 1989 เป็นต้นมา ไดมเลร์-เบนซ์ ได้แยกกิจการผลิตรถยนต์ออกเป็นบริษัทเอกเทศมีชื่อว่าบริษัท เมร์เซเดส-เบนซ์ อาเก (MERCEDES-BENZ AG) บริษัทที่ก่อตั้งขึ้นใหม่นี้ มีฐานะเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับสองของเยอรมนี ในปี 1990 เมร์เซเดส-เบนซ์ผลิตรถยนต์ออกสู่ตลาดรวมทั้งสิ้น 574,395 คันและมีรายได้จากการขายรถยนต์นั่งรวมทั้งสิ้นประมาณ 568,000 ล้านบาท ปัจจุบัน เมร์เซเดส-เบนซ์ ผลิตรถยนต์นั่งออกจำหน่ายรวม 4 อนุกรม คือ อนุกรม ดับบลิว 201 (W201) อนุกรม ดับบลิว 124 (W124) อนุกรม ดับบลิว 140 (W140) และอนุกรม อาร์ 129 (R 129) เมร์เซเดส-เบนซ์ มีโรงงานในเยอรมนีรวม 11 โรง มีบริษัทสาขารวม 43 บริษัท มีพนักงานในเยอรนีมากกว่า 182,000 คน และมีพนักงานทั่วโลกประมาณ 235,000 คัน
ชื่อบริษัท: เมร์เซเดส-เบนซ์ อาเก (MERCEDES-BENZ AG)
ก่อตั้ง: ค.ศ. 1926
สำนักงานใหญ่: MERCEDESSTRASSE 136, 7000 STUTTGART 60, GERMANY,
ประธานบริษัท: ศาสตราจารย์ ดร.เวร์เนร์ นีฟเฟร์ (PROF.DR.WERNER NIEFER)
โรงงานในเยอรมนี: 11 โรงงาน
จำนวนพนักงาน: ประมาณ 235,000 คน
เว็บไซต์: www.mercedes-benz.de
รถรุ่นสำคัญ : ชตุทท์การ์ด 200 มันน์ไฮม์ (1926)
เมร์เซเดส-เบนซ์ 170 วี (1935)
เมร์เซเดส-เบนซ์ 260 ดี (1935)
เมร์เซเดส-เบนซ์ 300 เอสแอล (1954)
เมร์เซเดส-เบนซ์ 600 (1963)
เมร์เซเดส-เบนซ์ 300 เอสอีแอล 3.5 (1969)
เมร์เซเดส-เบนซ์ 280 ซีอี (1977)
เมร์เซเดส-เบนซ์ 450 เอสแอสซี (1978)
เมร์เซเดส-เบนซ์ 500 เอสแอสซี (1980)
เมร์เซเดส-เบนซ์ 190 (1983)
เมร์เซเดส-เบนซ์ ดับบลิว 124 (1985)
เมร์เซเดส-เบนซ์ ดับบลิว 140 (1991)

ประวัติ Dodge รถสัญชาติอเมริกัน สุดแกร่ง !!



Dodge แบรนด์ยานยนต์ชื่อดังสัญชาติอเมริกัน ก่อตั้งโดยสองพี่น้อง Horace และ John Dodge ในปี 1900 ปัจจุบันได้ถูกครอบครองโดย Cerberus Capital Management บริษัทลงทุนภาคเอกชนใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาในนามของบริษัท Chrysler Group LLC
ซึ่งทำงานร่วมกันกับบริษัท Fiat เพื่อพัฒนาแบรนด์ Dodge, Chrysler, และ Jeep ร่วมกัน มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน และมีสาขามากกว่า 60 ประเทศทั่วโลกในปี 1900 สองพี่น้อง Horace และ John Dodge ได้ก่อตั้งบริษัท Dodge Brother เพื่อผลิตเครื่องยนต์และแชสซีส์ส่งขายให้กับบริษัทผู้ผลิตยานยนต์ในเมืองดีทรอยต์ ซึ่งในขณะนั้นอุตสาหกรรมยานยนต์กำลังเติบโตเป็นอย่างมาก ต่อมาลูกค้ารายใหญ่ของ Dodge ได้ก่อตั้งบริษัท Olds Motor Vehicle และได้เปลี่ยนเป็นบริษัท Ford Motor ทำให้สองพี่น้อง Dodge กลายเป็นผู้ค้าชิ้นส่วนรถยนต์รายใหญ่ของรัฐดีทรอยต์ และพวกเขาก็ไม่ได้หยุดนิ่งเพียงแค่ขายอะไหล่ยนต์ให้กับบริษัทใหญ่ๆ เท่านั้น พวกเขาได้เริ่มทดลองสร้างรถยนต์ขึ้นมาให้เป็นแบรนด์ของตนเองในปี 1913

Horace ได้คิดค้นเครื่องยนต์สี่สูบแบบใหม่ใส่ใน Dodge Model 30 ซึ่งถือได้ว่าเป็นรถรุ่นที่บุกเบิกเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้กับรถยนต์รุ่นหลัง เพราะเป็นรถที่ใช้ระบบไฟฟ้า 12 โวลต์ เกียร์สไลด์ และโครงสร้างรถทำจากเหล็กทั้งคัน ซึ่งรุ่นนี้ได้สร้างชื่อเสียงให้กับสองพี่น้องเป็นอย่างมากทั้งในด้านของการผลิตและส่วนประกอบรถที่มีคุณภาพสูง จึงทำให้ติดอันดับรถขายดีที่สุดเป็นอันดับสองในสหรัฐอเมริกาในปี 1916 และเป็นคู่แข่งตัวฉกาจของ Ford Model T จากนั้นมา Dodge ก็ขึ้นชื่อในด้านของความทนทานและได้ถูกยอมรับโดยกองทัพสหรัฐอเมริกาที่ต่อมากลายเป็นลูกค้ารายใหญ่ของ Dodge ในการผลิตรถให้แก่กองทัพในช่วงสงครามต่อต้านกองกำลังแม็กซิโก
ในช่วงที่ Dodge กำลังรุ่งเรืองได้เกิดเหตุการณ์น่าสลดขึ้น เมื่อ John Dodge ได้เสียชีวิตลงในเดือนมกราคม ปี 1916 ด้วยโรคปอดบวม และในเดือนธันวาคมปีเดียว Horace Dodge ก็ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคตับแข็ง ซึ่งคนใกล้ชิดได้ระบุว่าในช่วงหลังการเสียชีวิตของ John นั้น Horace อยู่ในความเศร้าโศกตลอดเวลา และไม่สามารถทำใจกับการสูญเสียในครั้งนี้ได้ ดังนั้นบริษัท Dodge Brother จึงตกไปอยู่ในการดูแลของภรรยาของทั้งสองคนซึ่งขึ้นมาเป็นผู้บริหารในเวลาต่อมา และได้เซ็นสัญญาทางการค้ากับบริษัทผู้ผลิตรถบรรทุก Graham Brothers ซึ่งในช่วงนั้น Dodge ได้ขึ้นทำเนียบเป็นบริษัทชั้นนำในการผลิตรถบรรทุกของประเทศสหรัฐอเมริกา
ในปี 1925 บริษัท Dodge Brother ได้ถูกขายต่อให้กับกลุ่มผู้ลงทุน Dillon, Read & Co. ในราคา 146 ล้านดอลล่าห์สหรัฐ ซึ่งในเวลานั้นถือว่าเป็นการทำธุรกรรมเงินสดที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ และได้เข้าไปร่วมถือหุ้นของบริษัท Graham Brothers จำนวน 49% ในปี 1926 แต่หลังจากนั้นยอดขายยานยนต์ของ Dodge ไม่ได้ทำกำไรจึงทำให้กลุ่มลงทุน Dillon, Read & Co. ตัดสินใจขายบริษัทให้กับ Chrysler Corporation ในปี 1928
แบรนด์ Dodge ไม่ได้มีการพัฒนารุ่นรถใดๆ ทั้งสิ้นหลังจากที่ผู้ก่อตั้งทั้งสองเสียชีวิต Chrysler จึงได้กลับมาพัฒนารูปลักษณ์ของ Dodge เป็นรูปแบบใหม่ ดูเพรียวลม และสวยงามขึ้น เรียกรูปแบบนี้ว่า Wind Stream และใช้เครื่องยนต์ 8 สูบ สำเร็จออกมาเป็นรถตระกูล Luxury Liner ซึ่งเป็นที่ถูกใจของตลาดเป็นอย่างมาก แต่ในช่วงที่กิจการกำลังรุ่งเรืองก็มีอันต้องชะงักลงในปี 1942 เนื่องจากประเทศสหรัฐเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้ Dodge ต้องหันมาผลิตรถที่ใช้ในการสงครามแทน
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง กองทัพสหรัฐอเมริกาเลือกใช้แบรนด์ Dodge รถบรรทุกและรถพยาบาล ทั้งตระกูล VC และ WC จึงทำให้ Dodge เป็นที่รู้จักกันดีในเหล่าบรรดาทหารและประชาชน ส่งผลให้ภายหลังสงคราม Dodge ขายดีมากจนถึงปี 1948 แต่ด้วยดีไซน์เดิมๆ ของ Dodge ก็ไม่ได้เป็นที่ต้องตาต้องใจของตลาดในเวลาต่อมา จนมาถึงช่วงการเปลี่ยนแปลงในปี 1953 ภายใต้วิสัยทรรศของผู้นำ Virgil Exner ได้เปิดตัวเครื่องยนต์แบบใหม่ที่มีชื่อว่า Red Ram Hemi รุ่นที่ถูกออกแบบมาให้เล็กกว่า Chrysler Hemi และหันมาพัฒนาเชิงรุกในด้านการออกแบบมากขึ้น รถของ Dodge จึงเกิดวิวัฒนาการแบบใหม่ มีขนาดเล็กลง หลังคาสโลป และนำระบบการขับเคลื่อนล้อหลังของ Chrysler มาใช้ จึงได้รถรุ่นใหม่ Dodge Charger เป็นรุ่นที่ขายดีที่สุดและยังชนะการแข่งขัน NASCAR และตามมาด้วยรุ่นอื่นๆ เช่น Custom 880, Polara, และ Monaco
แต่ที่สร้างชื่อเสียงให้กับ Dodge มากที่สุดมาจนถึงปัจจุบันเมื่อ Dodge ได้หันมาเปิดตลาดรถยนต์คันใหญ่สไตล์อเมริกันที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ V8 ขนาดใหญ่หรือ Muscle car ในช่วงปลายปี 1960 เช่นรุ่น Charger, Coronet R/T, และ Super Bee เป็นช่วงที่ตลาดอเมริกาตื่นตาตื่นใจกับรถ Muscle Car เป็นอย่างมาก แต่ก็ต้องปิดกระแสลงด้วยวิกฤติน้ำมันของสหรัฐอเมริกาในปี 1973
บริษัท Chrysler เจอพิษเศรษฐกิจเข้าขั้นวิกฤต ถูกคู่แข่งที่มีเสถียรภาพทางการเงินที่มั่นคงอย่าง General Motor และ Ford ชิงส่วนแบ่งทางการตลาดของ Dodge ได้อย่างรวดเร็ว แต่ Chrysler ก็ยังไม่ยอมแพ้นำรถรุ่นเก่ามาพัฒนาใหม่ เช่น Dodge Aspen, Dodge Diplomat แต่ก็ยังทำยอดขายได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก ต่อมาในปี 1979 Chrysler ได้แต่งตั้งผู้บริหารคนใหม่ Lee Lacocca ซึ่งเขาได้ร้องขอและได้รับการค้ำประกันการกู้ยืมเงินจากกองทุนรัฐบาลกลางสหรัฐ ทำให้บริษัทเริ่มมีสภาพคล่องทางการเงินมากขึ้น และเดินหน้าผลิตรถรุ่นใหม่ตระกูล K-Car ที่สามารถโดยสารได้ถึง 6 คน นั่นคือรุ่น Dodge Caravan เป็นรถมินิแวนรุ่นบุกเบิกที่เราเห็นกันในปัจจุบันนี้ ตามมาด้วยรถสปอร์ต Dodge Spirit รุ่นที่ประสบความสำเร็จด้วยยอดขายจำนวนมากจากทั่วโลก ในปี 1992 และรุ่นที่โด่งดังที่สุด Dodge Viper รถสปอร์ตที่ใช้เครื่องยนต์ V10 เป็นรุ่นแรกของโลกที่ถือว่าเป็นการคืนชีพของ Dodge อย่างแท้จริง
ต่อมาในปี 1998 Chrysler Corporation ได้รวมตัวเข้ากับบริษัทยักษ์ใหญ่ Daimler-Benz AG และเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น DaimlerChrysler หรือที่รู้จักกันในนามของ Chrysler LLC และได้ขายหุ้นส่วนของบริษัทจำนวน 80.1% ให้กับบริษัท Cerberus Capital Management และ Daimler AG ก็ยังคงถือหุ้นอยู่จำนวน 19.9% จากนั้นได้ทำสัญญาพันธมิตรทางการค้ากับ Fiat บริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติอิตาลี และได้เปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่เป็น Chrysler Group LLC ในปี 2009
จากความนิยมของ Dodge Viper ที่ได้ปรากฎโฉมอยู่ตามรายการทีวีต่างๆ วิดีโอเกมส์ ภาพยนตร์ และมิวสิควิดีโอ ยังได้รับการตอบรับอย่างต่อเนื่อง ในปี 2010 ผู้บริหารคนล่าสุดของ Dodge ได้ประกาศว่าจะนำ Dodge Viper มาพัฒนาใหม่อีกครั้งสำหรับปี 2012

เปิดตำนาน Nissan Skyline GT-R ที่เป็นความฝันของชาย หลายๆคน !!


 
รถสปอร์ตสองประตูในตระกูล Skyline Gt-r ของ Nissan มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนานกว่า 50 ปีแล้วโดยนับจากรุ่นแรกคือรุ่นPrince Skyline (1957) จนมาถึงรุ่นล่าสุดในยุคนี้คือ Nissan Gt-r R 35 (2008) โดยที่ทุกๆรุ่นของ Gt-rเป็นรถยนต์แบบสปอตร์สองประตูเครื่องยนต์วางด้านหน้าและขับเคลื่อนล้อหลังโดยมีพละกำลังมากกว่ารุ่นปกติ การได้ขับ Gt-rไม่ว่าจะเป็นรถรุ่นเก่าหรือรุ่นล่าสุดนั้นก็หมายถึงการได้ควบคุมเครื่องจักรพลังสูงไปบนเส้นทางแห่งการเดินทางร่วมกันระหว่างมนุษย์และจักรกลตำนานแห่งความเร็วของรถยนต์ Nissan Skylineที่สืบทอดสายพันธุ์รถสปอร์ตแรงม้าสูงยังคงสร้างประวัติศาสตร์บนเส้นทางของโลกแห่งยนต์กรรมจากอดีตไปสู่อนาคตซึ่งนับได้ว่าเป็นเส้นทางของรถยนต์ที่มีบุคลิกหลากหลายมากที่สุด

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

Prince Skyline 1957

บริษัทรถยนต์ขนาด เล็กของญี่ปุ่นในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สองชื่อ Prince MotorCompany (ช่ือดั้งเดิมของบริษัทนี้คือ Tachikawa Aircraft Company)ก่อนหน้าที่จะเข้าควบรวมกิจการกับบริษัท Datson และแปลเปลี่ยนชื่อมาเป็นNissan ในภายหลังเป็นผู้ให้กำเนิดต้นตระกูลของรถ Skyline ในปี คศ 1966ซึ่งมันยังคงเป็นรถสี่ประตูระดับบนสุดคันแรกของ Prince Motor Companyในยุค1957นั้นรถยนต์ทั่วๆไปยังคงมีเครื่องยนต์ที่มีกำลังไม่มากนักและวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดได้แค่ 120กิโลเมตรเป็นส่วนใหญ่ แต่รถ Prince Skylineสามารทำความเร็วได้ถึง 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมงซึ่งเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมากต้นตระกูลของ Skyline คันนี้มีเครื่องยนต์ขนาดเล็กแค่ 1482 c.c.สี่สูบและมีแรงม้าเพียงน้อยนิดแค่ 60 แรงม้า อัตราเร่งจาก 0-100กิโลเมตรใช้เวลาไปถึง 15.0 วินาที

Prince Skyline Sport Coupe 1962

ดีเอนเอของ Skyline รุ่นแรกปี 1957ถูกส่งต่อมายังรุ่นที่สองโดยใช้มันสมองของ Car Designer ระดับโลกอย่างMichelottiซึ่งทำให้รถรุ่นที่สองนี้มีกลิ่นไอรวมถึงรูปทรงแบบคูเป้ของรถยนต์จากอิตาลีผสมผสานอยู่ Prince Skyline Sport Coupeใช้เครื่องยนต์ขนาดใหญ่ขึ่นเล็กน้อยและผลิตในจำนวนจำกัดแค่ 200คันเท่านั้นความสวยงามของรูปทรงแบบรถสองประตูคูเป้และสมถนะที่ดีขึ้นทำให้มันได้รับความนิยมมากในญี่ปุ่น เครื่องยนต์มีความจุเพิ่มขึ้นจากรุ่นแรก 1482 c.c.มาเป็น1862 c.c. สี่สูบ 94 แรงม้าโดยยังคงอัตราเร่งเดิมที่ 0-100 กิโลเมตรใน15วินาที

Prince Skyline 2000 Gt S54 1964

เจเนอรเรชั่นที่สามของ Skylineกลับมาใช้รูปแบบของรถยนต์สี่ประตูเหมือนกับรุ่นแรกอีกครั้งนอกจากจะเป็นรถยนต์ที่ใช้งานทั่วไปแล้วมันยังถูกนำไปใช้แข่งขันในสนามแข่งรถยนต์ทางเรียบประเภท Gt ของทีมแข่งในญี่ปุ่นอีกด้วยความแรงของเครื่องยนต์ทำให้มันสามารถกำชัยชนะเหนือรถยนต์จากยุโรปบางค่ายได้จากเครื่องยนต์ที่มีความจุและจำนวนกระบอกสูบเพิ่มขึ้น Skyline 2000 Gt S54ทุกคันติดตั้งเครื่องยนต์หกสูบแถวเรียงขนาด1988 c.c. 162 แรงม้าเร่งจากจุดหยุดนิ่งไปถึงความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 9.0 วินาที


Nissan Skyline 2000 Gt-r C10 1969

สายเลือดของรถแข่งเริ่มส่งต่อมายัง Skyline 2000 Gt-r C10 ในรุ่นที่สี่และจากการเข้าควบรวมกิจการระหว่าง Nissan กับ Prince Motor Company ในปี1966ทำให้มันกลายไปเป็นรถแข่งชั้นดีที่สามารถใช้แข่งขันได้ทั้งในสนามแข่งรถรวมถึงการแข่งขันแบบแรลลี่ทั่วโลก ถ้วยรางวัยชนะเลิศกว่า 50ใบเป็นเครื่องมือการันตรีประสิทธิ์ภาพของตัวรถได้เป็นอย่างดีวัยรุ่นของญี่ปุ่นที่ชื่นชอบในความเร็วต่างพากันซื้อรถรุ่นนี้และมักจะนำออกมาขับแข่งขันบนท้องถนนในยามค่ำคืนจนเกิดเป็นที่มาของคำว่า Mid NightRacingซึ่งต่อมากลายเป็นจุดศูนย์รวมของพวกบ้าความเร็วที่มักจะรวมตัวกันในคืนวันหยุดสุดสัปดาห์และพากันตระเวณไปทั่วบนท้องถนนของกรุงโตเกียว 2000 Gt-r C10วางเครื่องยนต์ตัวแรงหกสูบ 1998 c.c. สร้างแรงม้าได้ 160 แรงและมีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงที่ 8.2วินาทีในเครื่องยนต์เดิมๆจากโรงงานที่ยังไม่ได้ผ่านการปรับแต่งเพื่อเพิ่ม


Nissan Skyline 2000 Gt-r 1973

อนุกรมของรถ Skyline ถูกส่งต่อมายังรุ่น 2000 Gt-rซึ่งเป็นรถรุ่นที่ห้าของตระกูลโดยการเริ่มต้นนำไฟท้ายแบบทรงกลมสองดวงมาใช้(หรือมักนิยมเรียกขานกันในหมู่นักเลงรถว่า ไฟโดนัท)ต่อมาไฟท้ายแบบนี้ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของ Skyline ทุกรุ่นในยุค 1973จวบจนมาถึงปัจจุบันนี้และจากสภาวะการณ์น้ำมันในตลาดโลกที่มีราคาสูงขึ้นมากกว่าความเป็นจริงในขณะนั้นทำให้ 2000 Gt-r 1973ต้องประสบกับปัญาหาที่ไม่สามารถทำตลาดในเป้าหมายที่วางไว้ได้หลายๆบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ต่างต้องพบกับความตกต่ำของเศรษฐกิจโลกจนเกิดสภาวะที่ซบเซาไปทั่ว Skyline 2000 Gt-r 1973มีเครื่องยนต์แถวเรียงหกสูบขนาดความจุ 1998 c.c. Dohcพร้อมติดตั้งคาร์บูเรเตอร์สามตัว อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรใน 8.3 วินาที

Nissan Skyline 2000 Gt 1977

สายพันธุ์แห่งความแรงรุ่นที่หกของรถ Skyline ถือกำเนิดขึ้นมาในปี 1977ปีที่สภาวะการของราคาน้ำมันเริ่มปรับตัวลดลงทำให้ยอดขายรถยนต์ทั่วโลกดีขึ้นวิศวกรของ Nissanจึงได้นำเอาระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบมาใส่ไว้ในเครื่องยนต์ของ Skyline 2000Gt 1977 เพื่อเพิ่มเติมพละกำลังแต่การขับขี่และควบคุมตัวรถกลับทำได้ด้อยลงกว่ารุ่น C10และการออกแบบที่ดูแย่กว่ารุ่น 2000 Gt-r 1973ถึงแม้ว่ามันจะมีการตกแต่งภายในที่ดูดีกว่า Skyline ทุกรุ่นที่ Nissanเคยผลิตออกมาก็ตาม Skyline 2000 Gt 1977ในรุ่นที่หกนี้มีพละกำลังที่ได้มาจากเครื่องยนต์แถวเรียงหกสูบความจุ 1998c.c. เทอร์โบซึ่งดูแล้วน่าจะมีกำลังที่แรงกว่าทุกรุ่นแต่กลับกลายเป็นว่ามันมีแรงม้าเพียงแค่ 130 ตัวเท่านั้น ทำให้ตัวรถที่มีน้ำหนักประมาณ 1100กิโลกรัมอืดอาดและไม่คล่องตัวเท่ากับรุ่นพี่ที่เคยทำมาตรฐานด้านอัตราเร่งแซงและความเร็วสูงสุดเอาไว้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังมากที่สุดของเหล่าบรรดาสาวก Skyline


Nissan Skyline Rs Turbo 1983 (R 31)
เจ้าปีศาจไฟโดนัทรุ่นที่เจ็ดเปิดมิติใหม่ของเครื่องยนต์ติดเทอร์โบพลังแรงสูงใน ยุคนั้นให้ผู้คนได้ตื่นตะลึงในความแรงของตัวรถและสร้างแรงบรรดาลใจให้กับเหล่าผู้บริหารรวมถึงบรรดาวิศวกรเครื่องยนต์ของNissan ทำการเปิดแผนก Motor Sport เล็กๆขึ้นภายในบริษัทโดยใช้ชื่อว่าNismoซึ่งต่อมาจะกลายสภาพมาเป็นสำนักงานที่ทำเครื่องยนต์และอุปกรณ์ตกแต่งเพื่อเพิ่มแรงม้าให้กับผู้ใช้รถยนต์ Nissan ที่มีชื่อเสียงในอันดับต้นๆของวงการMotor Sport ระดับโลก Skyline Rs Turbo 1983หันกลับมาใช้เครื่องยนต์สี่สูบความจุ 1990 c.c. เทอร์โบโดยมีแรงม้ามากถึง202 แรงม้า และมีอัตราเร่งที่ทำเอา Porsche 911รถสปอร์ตจากแดนกางเขนเหล็กที่ขึ้นชื่อในเรื่องความแรงของยุค 80ต้องเกิดอาการหนาวๆร้อนๆจากอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรของ Skyline Rs Turboที่ทำเวลาได้เพียง 7.5 วินาทีเท่านั้น


Nissan Skyline Gt-r 1989 (R 32)
ตำแหน่งชนะเลิศทุกรายการในปี 1989 ของการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ Jtcc (JapaneseTouring Car Championship)ของ Skyline R32ได้มาจากเทคโนโลยีของเครื่องยนต์และตัวรถที่พัฒนาโดยสำนักแต่ง Nismoพ่อมดผู้เศกเป่าความแรงให้กับ Gt-r R32นอกจากนั้นมันยังถูกนำไปแข่งในประเภททางตรงจับเวลาแบบควอเตอร์ไมล์อีกด้วยR32ยังมีระบบขับเคลื่อนแบบสี่ล้อเพื่อสร้างแรงยึดเกาะกับผิวถนนยามวิ่งด้วยความเร็วสูง เครื่องยนต์เทอร์โบรุ่นใหม่รหัส RB 26 Dettรวมไปถึงกลีบใบพัดของเทอร์โบที่ทำจากวัสดุเซรามิคเพื่อให้คงทนต่อความร้อนยามใช้งานในรอบเครื่องยนต์สูงๆบนสนามแข่งขัน รถรุ่น R32 1989กลับมาใช้เครื่องยนต์แถวเรียงหกสูบ 2568 c.c. ทวินเทอร์โบ(เทอร์โบสองตัวที่ทำงานต่างกันโดยตัวแรกจะเริ่มทำงานในรอบเครื่องต่ำและตัวที่สองจะทำงานในรอบเครื่องที่สูงขึ้นทำให้มีอัตราเร่งแบบต่อเนื่องดีขึ้นมาก)ได้แรงม้าจากโรงงานโดยยังไม่ผ่านการโมดิฟายถึง 280ตัวสูงสุดตามกฏหมายของญี่ปุ่นซึ่งมีอัตราเร่งที่ชวนให้ขนหัวลุก 0-100กิโลเมตรเพียง 4.7 วินาทีเท่านั้น


Nissan Skyline Gt-r 1995 (R33)
สายพันธุ์อสูรร้ายในโมเดลที่เก้าถูกผลิตขึ้นมาเมื่อปี 1995R33เป็นรถที่ถูกปรับแต่งเพื่อเพิ่มเติมพละกำลังให้ถึงขีดสุดในรุ่น V-Specที่สามารถวิ่งได้เร็วถึง 200 ไมล์ต่อชั่วโมงรวมถึงรุ่นพิเศษ 400 Rซึ่งเป็นที่ต้องการของเหล่าสาวก Skyline เนื่องจากมันมีแรงม้าถึง 400แรงม้าจากการปรับจุนเครื่องยนต์ของช่างผู้ชำนาญงานจาก Nissan รถ SkylineR33เป็นที่นิยมมากในบรรดาวัยรุ่นที่ชอบรถสปอร์ตเครื่องแรงและพวกชอบแข่งรถทางตรงแบบจับเวลาคอวเตอร์ไมล์เครื่องยนต์ของรุ่นนี้ยังคงเป็นเครื่องหกสูบแถวเรียงรหัส RB26 Dett 2568c.c.ทวินเทอร์โบที่ถูกปรับปรุงกลไกภายในให้ดีขึ้นกว่ารุ่นเก่ามีม้าคับคั่งขึ้นถึง 300แรงม้าส่วนอัตราเร่งและความเร็วสุงสุดยังคงใกล้เคียงกับตัวเก่า (R32)


Nissan Skyline Gt-r 1999 (R34)
เจนอร์เรชั่นที่สิบของตระกูล Gt-r เกิดขึ้นมาพร้อมกับเทคโนโลยีดิจิตอลในยุค2000 R34 ทุกคันติดตั้งจอแสดงผลแบบ Lcdที่สามารถแสดงข้อมูลของเครื่องยนต์และตัวรถในขณะขับใช้งานได้ถึง 7 แบบส่วนรุ่น V-Spec มีโครงรถผสมกันระหว่างคาร์บอนไฟเบอร์อลูมินัมและเหล็กกล้าฝากระโปรงหน้าทำจากอลูมิเนียมเพื่อลดน้ำหนักจึงนับได้ว่ารถรุ่นนี้มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสูงมาก นักเลงรถ Skyline บางคนถึงกับยกให้มันเป็นรถSkyline Gt-r ที่มีรูปทรงสวยงามอมตะและคงความคลาสสิกตลอดกาล R34 Gt-rวางเครื่องยนต์แถวเรียงหกสูบขนาด 2568 c.c.ทวินเทอร์โบ 330แรงม้า เร่งจาก0-100 กิโลเมตรภายในเวลาแค่ 4.5 วินาทีเท่านั้น


Nissan Skyline Coupe 2005 (V35)
ความสับสนและมึนงงของผู้บริหาร Nissan ส่งผลให้ Skylineในรุ่นที่สิบเอ็ดนี้เป็นรถที่ทุกๆคนต่างเมินหน้าหนี V35หันไปใช้ชัสซีร่วมกับ Nissan 350Z รวมไปถึงขุมพลังแบบ V6ที่ไร้สิ้นซึ่งความแรงและขุนไม่ขึ้นอีกทั้งระบบขับเคลื่อนลี่ล้อของรุ่นเก่ายังถูกถอดออกไปเพื่อลดต้นทุนทำให้รถ Skyline V35 Coupeรุ่นนี้มียอดขายที่ตกต่ำลงมาก เครื่องหมายแห่งตำนานอย่าง GT-Rก็ยังถูกเอาออกไปด้วย ทำให้มันยิ่งโดนรังเกียจจากบรรดาแฟนพันธุ์แท้รวมไปถึงเหล่าวิศวกรของ Nismoที่พากันมึนงงไม่รู้จะทำอย่างไรดีกับเครื่องยนต์ V6ที่ไม่ค่อยจะเข้ากับบุคลิคของตัวรถการกระจายน้ำหนักที่มีค่าเฉลี่ยไม่ค่อยดีนักทำให้มันกลายเป็นโมเดลส่วนเกินของตระกูล Skyline
เครื่องยนต์ของ Skyline V35 เป็นเครื่องยนต์แบบวีหกสูบ 3498 c.c. 298แรงม้า


Nissan Gt-r R35 2008
หลังจากเสียงก่นด่าของเหล่าบรรดาผู้สื่อข่าวสายรถยนต์ทั่วโลกจากนักทดสอบและวิจารณ์รถยนต์รวมถึงบรรดาสาวกผู้ภักดีของ Gt-r ที่มีต่อ Skyline V35ทำให้ไปกระตุ้นต่อมสมองของผู้บริหาร Nissan ว่าสิ่งที่กระทำลงไปในตัวรถV35 นั้นเหมือนกับการไปทำลายตำนานแห่งความแรงที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของ Gt-rเสียจนแทบสูญสิ้นไปจากความทรงจำและประวัติศาสตร์ของบริษัทรวมไปถึงยอดการขายรถยนต์แบบสปอตร์สองประตูรุ่นสูงสุดของค่ายที่มีตัวเลขหดหายลงไปจนน่าตกใจและส่งแรงสั่นสะเทือนจนไปถึง Carlos Ghosnซึ่งรับหน้าที่เป็นซีอีโอของค่ายเห็นถึงความตกต่ำของรุ่น V35 นายใหญ่ของNissan จึงสั่งการไปยังพลพรรควิศวกรชั้นหัวกระทิของสำนัก Nismoทำการออกแบบและสร้าง Gt-r รุ่นใหม่ล่าสุดให้ออกมาดีกว่าทุกๆรุ่นที่ Nissanเคยสร้างไว้ Gt-r R35 กลับมาเกิดใหม่ด้วยรูปทรงที่ยังคงเอกลักษณ์ของSkyline Gt-r ไว้แทบทั้งหมดไฟท้ายแบบโดนัทก็ยังถูกนำกลับมาใช้เหมือนเดิมหลังจากเสียภาพลักษณ์ไปในรุ่นV35 รวมถึงระบบขับเคลื่อนแบบสี่ล้อที่ขึ้นชื่อเรื่องการเกาะถนนเครื่องยนต์หกสูบแถวเรียงทวินเทอร์โบรหัส RB26Dettที่มีการพัฒนาจนถึงขีดสุดแล้วในรุ่น R34 ถูกเปลี่ยนมาเป็นเครื่องยนต์วี 6ทวินเทอร์โบความจุ 3799 c.c. 24 วาว์ล 473แรงม้าที่ 6400 รอบต่อนาทีและมีอัตราเร่งชวนขนหัวลุก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 3.6 วินาทีแรงเสียจนซุปเปอร์คาร์ในยุคนี้อย่าง Porsche 911 Gt-2, Ferrari599 Gtb,หรือแม้กระทั่ง Lamborghini Lp640ยังต้องหวั่นเกรงในอัตราเร่งและแรงม้าอันท่วมท้นของ Gt-r R35



                       เครื่องยนต์ตัวใหม่ของ Gt-r R35 2008ใช้รหัสว่า VR38 Dett โดยไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆทั้งสิ้นกับเครื่องยนต์วี6 ของ 350Zในเครื่องยนต์ตัวใหม่นี้ผู้ขับสามารถดึงกำลังจากรอบต่ำได้อย่างว่องไวและต่อเนื่องไปจนถึงรอบสูงสุดโดยมีระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบสองตัวที่ทำงานต่างรอบกันรวมไปถึงชุดเกียร์แบบใหม่ล่าสุด Transaxle 6สปีดระบบคลัซคู่ที่มีอัตราการเปลี่ยนเกียร์รวดเร็วถึง 0.2วินาทีในการเปลี่ยนเกียร์ขึ้น-ลง Gt-r R35คือผลลัพธ์ของเทคโนโลยีและวิศวกรรมยานยนต์ขั้นสูงสุดของ Nissanที่ออกแบบมาเพื่อให้กลายเป็นคู่ต่อสู้ของบรรดาซุปเปอร์คาร์ฝีเท้าจัดจากยุโรป มันทั้งควบคุมได้ง่ายในย่านความเร็วสูงและมีกำลังของเครื่องยนต์ที่เหลือเฟือเพียงพอที่จะใช้ขับแข่งในสนามแข่งรถโดยแทบไม่ต้องปรับปรุงเพิ่มเติมอะไรอีกแล้ว การกลับมาของ Gt-r R35 2008แสดงให้เห็นว่าสายพันธุ์ตำนานแห่งความเร็วและแรงของ Nissan Skyline Gt-rจะยังคงอยู่ต่อไป..

Toyota จากอดีตสู่ปัจจุบัน ยังคงความเก๋าไว้เหมือนเดิม !!



1. Toyota Corolla KE10 (1966-1970) 
    หากย้อนกลับไปในเดือนเมษายน 1966 จากความสำเร็จของ Nissan Sunny 1000 CC. ในตลาดญี่ปุ่น ส่งผลให้โตโยต้าสนใจที่จะทำรถออกมาท้าชิงบ้าง  7 เดือนต่อจึงได้ฤกษ์คลอด Toyota Corolla รหัสตัวถัง KE10 ในแบบ 2 ประตู ส่วนรุ่น 4 ประตูตามมาในเดือนพฤษภาคม 1967 และสเตชันแวกอนในปี 1968 ซึ่งทำให้ Toyota ประสบความสำเร็จกับยอดขาย จึงเพิ่มตัวถัง coupe 2 ประตูปิดท้ายรุ่น ซึ่งมีชื่อเฉพาะว่า Corolla Sprinter รหัสตัวถัง KE15 



     KE10 ใช้เครื่องยนต์รหัส K 4 สูบ OHV 1,070 ซีซี 60 แรงม้า (PS) ที่ 4,000 รอบ/นาที และรุ่น 73 แรงม้า (PS) ที่ 6,600 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 4 สปีดและเกียร์อัตโนมัติ 2 สปีด  สำหรับเมืองไทย มีการนำเข้ามาจำหน่ายอย่างเป็นทางการโดยโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย เมื่อปี 1966 โดยเป็นรถนำเข้าจากต่างประเทศ ยังไม่มีการประกอบในประเทศไทยครับ

2. Toyota Corolla KE20 (1970-1978)

      เปิดตัวในปี 1970 โดยรถรุ่น Corolla Sprinter มีการเพิ่มรูปแบบตัวถัง sedan เข้าไปในเมนูผลิต และ มีการเปิดตัวรถรุ่น Corolla Levin (มาการรวมคำของ COROLLA+TWINCAM ENGINE) และ Corolla Sprinter Trueno โดยนำตัวถังแบบ ) Coupe GT มาใช้ และด้วยความประสบความสำเร็จของเจ้าโปรดักต์ตัวนี้ Toyota จึงตัดสินใจแยกธุรกิจการขายรถ Toyota Corolla เป็น 2 ธุรกิจ คือ 1. Auto ทำธุกิจขาย Corolla Sprinter และ Corolla Sprinter Trueno และ 2. Corolla ทำการขาย Corolla และ Corolla Levin 


     KE20 มีเครื่องยนต์ที่ใช้เป็นรหัส 3K 4 สูบ OHV 1,166 ซีซี 73 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 9.24 กก.-ม. ที่ 3,800 รอบ/นาที จนถึงรุ่นแรงสุด 2T-GR 4 สูบ ทวินแคม 1,588 ซีซี 115 แรงม้า (PS) ที่ 6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 14.5 กก.-ม.ที่ 5,200 รอบ/นาที ซึ่งพัฒนามาจากรหัส 2T-G 110 แรงม้า (PS) และเปลี่ยนมาใช้เกียร์ธรรมดา 5 สปีดเป็นครั้งแรก โฉมนี้ประสบความสำเร็จสูงมาก แม้ว่าจะมีรุ่นใหม่เปิดตัวในปี 1974 แล้ว แต่รุ่นนี้ก็ยังขายจนถึงปี 1978 จนเลิกผลิตไป

   นอกจากนั้นในเดือนพฤศจิกายน 1974 ไดฮัทสุ บริษัทในเครือโตโยต้า นำโคโรลล่าไปแปลงโฉมและทำตลาดในชื่อ ชาร์มังต์ (หรือรุ่น 1200 และ 1400 ในยุโรป) นับเป็นรถยนต์นั่งรุ่นใหญ่สุดของไดฮัทสุ 


3. Toyota Corolla KE30 (1974-1981)
    เปิดตัวเมื่อเดือน เม.ย. ปี 1974 มีรหัสตัวถังตั้งแต่ KE30 KE40 KE50 และ KE60 จะทำตลาดด้วยตัวถัง 2 และ 4 ประตู คูเป้ ลิฟต์แบ็ก 2 ประตู (ใช้รหัส TE37) และสเตชันแวกอน 3 และ 5 ประตู ที่ตัวถังด้านท้ายมีทั้งแบบกระจกโปร่งและแบบตัวถังทึบไม่มีกระจก ส่วนรุ่น Levin และ Trueno ใช้รหัส TE47 มีการเพิ่มรูปแบบตัวถัง hardtop coupe 2 ประตูเข้าไป ส่วนตัวถังแบบอื่นมีดังเดิม มีและเริ่มมีการพัฒนาและได้ผลิตระบบเกียร์ให้เลือกเพิ่มเป็น 4 ระบบ คืออัตโนมัติ 2 กับ 3 สปีด และ ธรรมดา 4 กับ 5 สปีด ขนาดเครื่องยนต์ 1.2 กับ 1.4 ลิตร

   การปรับโฉมตัวรถมีขึ้นในปี 1977 เปลี่ยนรหัสของ Corolla Coupe มาเป็น TE51 และ TE55 ในรุ่นลิฟต์แบ็ก ใช้ขุมพลังรหัส 2T-GEU 4 สูบ ทวินแคม 1,588 ซีซี EFI พร้อมระบบ TTC-C 110 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 14.5 กก.-ม.ที่ 4,800 รอบ/นาท

   โฉมนี้นะครับ ทั่วโลกเริ่มทยอยหยุดขายและหยุดผลิตในช่วงปี 1979 และโฉมนี้ได้หยุดผลิตอย่างสมบูรณ์ในปี 1981 ครับ

4. Toyota Corolla KE70 (1979-1983)
    เพิ่มความหลากหลายของรูปตัวถังขึ้น โดยเพิ่มรูปตัวถัง sedan 2 ประตู และ liftback 3 ประตูเข้าไปเพิ่ม แต่ได้ระงับการผลิตตัวถังแบบ coupe 2 ประตู และโฉมนี้ยังเป็นโฉมสุดท้ายที่รถโคโรลล่าขับเคลื่อนล้อหลังเพียงอย่างเดียว ซึ่งโฉมต่อจากนี้ จะค่อยๆยกเลิกระบบขับเคลื่อนล้อหลังของโคโรลล่าไป แล้วแทนที่ด้วยระบบขับเคลื่อนล้อหน้าครับ และยังเป็นโฉมสุดท้ายที่มีการผลิตระบบเกียร์อัตโนมัติ 2 สปีด และระบบเกียร์ธรรมดา 4 สปีดด้วยเช่นกัน 




    การปรับโฉมของโคโรลล่า จากไฟหน้าทรงกลมแบบ 4 ดวงและแบบสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก มาเป็นไฟหน้าสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ มีขึ้นในเดือนสิงหาคม 1981

     เครื่องยนต์ของโคโรลล่าตัวถังนี้มี 4 รุ่น คือ 4K-U 4 สูบ OHV 1,290 ซีซี 72 แรงม้า (PS) ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 10.5 กก.-ม.ที่ 3,600 รอบ/นาที รหัส 3A-U 4 สูบ OHC 1,452 ซีซี 80 แรงม้า (PS) ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 11.8 กก.-ม.ที่ 3,600 รอบ/นาที รหัส 13T-U 4 สูบ OHV 1,770 ซีซี 95 แรงม้า (PS) ที่ 5,400 รอบ/นาที ตามด้วยเครื่องปิดท้ายด้วยรหัส 2T-GEU 4 สูบ ทวินแคม 8 วาล์ว EFI 1,600 ซีซี 115 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 15 กก.-ม.ที่ 4,800 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 4 และ 5 จังหวะ รวมทั้งแบบอัตโนมัติ 2 และ 3 สปีดครับ


5. Toyota Corolla AE80 (1983-1987)
   เปิดตัวครั้งแรกในปี 1983 ประเดิมโฉมแรกที่ขับเคลื่อนล้อหน้า รหัสเครื่องยนต์ AE80 แต่ยกเว้น Corolla Levin และ Corolla Sprinter Trueno ที่ยังเป็นขับเคลื่อนล้อหลัง ใช้รหัสตัวถัง AE86 (รหัสในตำนานนั่นเอง) มีการปรับรูปแบบตัวถังใหม่ ได้แก่ coupe 2 ประตู , hatchback 3 ประตู , sedan และ station wagon 4 ประตู , liftback 5 ประตู และยังเป็นครั้งแรกที่มีการผลิตรุ่นดีเซลในพิกัด 1.8 ลิตร และใช้เบนซินในเครื่องยนต์ 1.3 ลิตรและ 1.6 ลิตร  ระบบส่งกำลังมีให้เลือก 2 ระบบ คือ อัตโนมัติ 3 สปีด และธรรมดา 5 สปีด วงการรถไทยมักเรียกว่าเจ้าคันนี้ว่า "โฉมท้ายตัด"



 
    แม้ว่าจะเปลี่ยนมาเป็นแบบขับหน้า แต่รุ่น Levin และ Trueno รหัสตัวถัง AE86 ยังเป็นแบบขับหลัง ใช้ตัวถังต่างจากรุ่นอื่นๆ และวางขุมพลังพันธุ์แรงบล็อกใหม่รหัส 4A-GEU ทวินแคม 16 วาล์ว 1.6 ลิตร EFI T-VIS 130 แรงม้า (PS) ที่ 6,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 15.2 กก.-ม.ที่ 5,200 รอบ/นาที ที่ผลิตโดยยามาฮ่า
 


    ด้วยสมรรถนะแรง ขนาดกะทัดรัด และรูปทรงไม่ล้าสมัย ทำให้ AE86 ยังเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นนักเลงรถชาวญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ความแตกต่างทางด้านรูปลักษณ์ระหว่างเลวินและทรูโนในรุ่นนี้ คือ ชุดไฟหน้า โดยทรูโนจะใช้แบบ POP-UP และแน่นอนครับเจ้าคันนี้มันทำให้ก่อเกิดภาพยนตร์ การ์ตูน และเกมส์ Initial D นั่นเอง

    สำหรับสปรินเตอร์ ซีดาน แม้ยังใช้ชิ้นส่วนหลักร่วมกับโคโรลล่า ซีดาน แต่ด้านท้ายได้รับการออกแบบใหม่หมด และส่งไปทำตลาดสหรัฐอเมริกาในชื่อ เชฟโรเล็ต โนวา
   ระบบขับเคลื่อนมี 3 แบบใหเลือกใช้ ได้แก่ ล้อหน้า,ล้อหลัง และ 4 ล้อ ในช่วงนี้ รถขับเคลื่อนล้อหลังเริ่มมียอดขายลดลง เพราะคนเริ่มไปซื้อรถขับเคลื่อนล้อหน้า แต่ในภาพรวมทั้งหมดนั้น เทคโนโลยีต่างๆในรถและรูปทรงที่ล้ำสมัยมากในยุคนั้น ทำให้ในปัจจุบัน มันก็ยังดูไม่ตกยุค รุ่นนี้มีการผลิตออกสู่ถนนกว่า 3.3 ล้านคัน และถ้านับรวมโฉมทั้ง 10 โฉม ตอนนั้นก็น่าจะ 40 ล้านคันแล้ว ปัจจุบัน นักเลงรถในญี่ปุ่น ก็จะยังรู้จักและขับรถโคโรลล่าโฉมนี้อยู่ โดยไม่ถือว่าล้าสมัย และโฉมนี้ก็เป็นโฉมสุดท้ายที่จัดเป็นรถขนาด Subcompact ที่อยู่ในตระกูล Corolla ด้วยครับ

 
6. Toyota Corolla AE90 (1987-1993)
    เปิดตัวในเดือนพฤษภาคม 1987 ด้วยซีดาน 4 ประตู แต่รุ่น FX เหลือแค่แฮทช์แบ็ก 3 ประตูเท่านั้นที่ทำตลาดญี่ปุ่น ส่วนรุ่น 5 ประตูส่งไปทำตลาดในยุโรปและโอเซียเนีย เป็นโฉมแรกที่ขยับตำแหน่งทางการตลาดจาก Subcompact ไปเป็น Compact ครับ ระบบขับเคลื่อนล้อหลังหายไป ได้มีการเพิ่มการผลิตรูปแบบตัวถัง hatchback 5 ประตู และโฉมนี้ ผลิตในช่วงที่ระบบเกียร์อัตโนมัติถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รถโฉมนี้ ได้เริ่มมีการผลิตเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด มา แต่ก็ยังผลิตรถรุ่นเกียร์อัตโนมัติ 3 สปีดอยู่



   Sprinter นอกจากตัวถังซีดานซึ่งในรุ่นนี้ออกแบบจนแตกต่างจาก Corolla แล้ว ยังเพิ่มรุ่น Liftback 5 ประตูในชื่อ Sprinter CIELO และใช้ชื่อโคโรลล่า ลิฟต์แบ็ก คอนเควสต์ ในตลาดยุโรปและโอเซียเนีย 


Toyota Sprinter CIELO


   เลวินและทรูโน (รหัสตัวถัง AE92) เผยโฉมพร้อมกันและเปลี่ยนมาเป็นสปอร์ตขับเคลื่อนล้อหน้า โดยไฟหน้า POP-UP ยังสร้างความแตกต่างให้กับคูเป้ทั้ง 2 รุ่นนี้เหมือนเดิม

   ขุมพลังของโคโรลล่ารุ่นนี้มีตั้งแต่รหัส 2E 4 สูบ OHC 12 วาล์ว 1,295 ซีซี 72 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 10.3 กก.-ม.ที่ 4,000 รอบ/นาที ตามด้วยแบบทวินแคม 16 วาล์ว เริ่มจากรหัส 5A-F 1,500 ซีซี คาร์บิวเรเตอร์ 85 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 12.5 กก.-ม.ที่ 3,300 รอบ/นาที และ 94 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 13.1 กก.-ม.ที่ 4,400 รอบ/นาทีสำหรับรุ่นหัวฉีด EFI (5A-FE) รหัส 4A-G 1,587 ซีซี 120 แรงม้า (PS) ที่ 6,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 14.5 กก.-ม.ที่ 5,200 รอบ/นาที แต่เมื่อเพิ่มซูเปอร์ชาร์จในรุ่น 4A-GZE กำลังสูงสุดจะเพิ่มเป็น 145 แรงม้า (PS) ที่ 6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 19 กก.-ม.ที่ 4,400 รอบ/นาที โฉมนี้คนไทยรู้จักกันในนาม โดเรม่อนครับ คงจะเป็นเพราะมีอุปกรณ์ครบครันละมั้ง เลยตั้งชื่อซะน่ารัก

Geo Prizm

   นอกจากนั้นแล้ว ยังส่งสปรินเตอร์ ซีดานไปจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาในชื่อ จีโอ พริซึม ยี่ห้อใหม่ของเจนเนอรัล มอเตอร์สที่แยกตัวออกจากเชฟโรเล็ต สำหรับในไทย ได้ทำการเปิดตัวเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 1987 เด่นด้วยเทคโนโลยีเครื่องยนต์ 16 วาล์ว เป็นรายแรกในเมืองไทย ใช้เครื่องยนต์ 2E และ 4A-F 16 วาล์ว 1587 ซีซี 94 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 13.0 กก.-ม.ที่ 4,000 รอบ/นาที 

    การไมเนอร์เชนจ์มีขึ้นในเดือนมีนาคม 1990 และเพิ่มรุ่นเกียร์อัตโนมัติ และ GTi ขุมพลัง 4A-GE 
130.5 แรงม้า (PS) ที่ 7,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 14.8 กก.-ม.ที่ 6,000 รอบ/นรุ่นที่ 7 AE100 เปิดตัวในเดือนมิถุนายน 1991 ด้วยตัวถังซีดาน พร้อมกับเปิดตัวพี่น้องร่วมสายพันธุ์โคโรลล่า เช่น รุ่นสปรินเตอร์ ที่มีความแตกต่างในด้านรูปลักษณ์อย่างชัดเจน และปิดท้ายด้วยรุ่นแฮทช์แบ็ก 3 ประตู FX ฮาร์ดท็อป 4 ประตูในชื่อโคโรลล่า เซเรส, สปรินเตอร์ มาริโน และโคโรลล่า ทัวริ่งแวกอน ในปี 1992

    และนับเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ขุมพลัง 5 วาล์ว/สูบ รหัส 4A-GE 4 สูบ ทวินแคม 20 วาล์ว 1,600 ซีซี 160 แรงม้า (PS) ที่ 7,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 16.5 กก.-ม.ที่ 5,200 รอบ/นาที ออกสู่ตลาดและในกลางปี 1988 นี้เอง ด้วยสาเหตุที่ความนิยมลดลง ทำให้โคโรลล่า เซเรส, สปรินเตอร์ มาริโน และ FX ถูกปลดออกจากสายการผลิต และยุติการทำตลาดในไตรมาสที่ 3 ของปีเดียวกัน และเหลือรุ่น FX ไว้ทำตลาดต่างประเทศเท่านั้น 


    โฉมนี้ ในเมืองไทยจะรู้จักกันดีในฐานะของโฉมที่มีเทคโนโลยีเครื่องยนต์ 16 วาล์ว รุ่นแรกที่มีขายในไทยในช่วงนั้น มักมีสัญลักษณ์อักษรเขียนว่า "TWINCAM 16 VALVE" ไว้เป็นสัญลักษณ์ที่ประตูรถในรถบางคัน และเป็นเอกลักษณ์ของโคโรลล่าโฉมนี้ด้วย ในรุ่นท้ายๆนั้นได้เริ่มเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์ระบบหัวฉีด (เฉพาะรุ่นGTiเครื่องยนต์ 4A-GE 16v.) ซึ่งประหยัดน้ำมันกว่า และสามารถเติมแก๊สโซฮอล์ได้ครับ แต่เป็นส่วนน้อย

7. Toyota Corolla AE101 (1991-1997)
   เปิดตัวครั้งแรกในปี 1992 มีการผลิตเกียร์ธรรมดา 6 สปีดขึ้นควบคู่กับการผลิตรถเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 และ 3 สปีด เครื่องยนต์ยังมีระบบดีเซล (2.0 ลิตร) และเบนซิน (1.3 , 1.5 , 1.6 , 1.8 ลิตร) ทันทีที่เปิดตัวในไทยเมื่อวันที่ 13 มี.ค. 1992 ก็ได้สร้างปรากฏการณ์ยอดการจองรถทะลุ 10,000 คันอย่างเกินคาดและยอดจองก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนผลิตไม่ทันกันเลยทีเดียว จึงต้องแก้ปัญหาด้วยการสั่งนำเข้ารุ่น LX Limited จากญี่ปุ่นมา 1,000 คัน และเพิ่มราคาขายคันละ 5,000 บาท 

    เป็นโฉมแรกของโคโรลล่า ที่ตราสัญลักษณ์วงรีไขว้สามวง(สามห่วง)ถูกนำมาใช้เป็นตราสัญลักษณ์ของโตโยต้า (ก่อนหน้านี้ใช้เขียนเป็นอักษร TOYOTA ) โฉมสามห่วง เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของตระกูลโคโรลล่า เพราะก่อนนี้ โคโรลล่าจะมีลักษณะเป็นรูปทรงเหลี่ยมๆ แต่โฉมนี้จะเริ่มเปลี่ยนจากความเหลี่ยมเป็นความโค้งมน และก็มีความโค้งมนมากขึ้นเรื่อยๆ และโคโรลล่าโฉมนี้ เครื่องยนต์แบบคาร์บูเรเตอร์ในรถเก๋งค่อยๆ หายไปจนเลิกผลิตไป กลายเป็นแบบหัวฉีดทั้งหมด

     การไมเนอร์เชนจ์มีขึ้นกลางปี 1994 และเพิ่มรุ่น 1,300 ซีซี เกียร์อัตโนมัติ พร้อมรุ่นตกแต่งพิเศษสีเขียวในชื่อ LIME เพียง 300 คันเท่านั้นครับ Corolla สามห่วง หยุดผลิตในปี 1997 หลังการเปิดตัวโฉมที่ 8 ในเวลา 2 ปี
  
8. Toyota Corolla AE110 (1995-2002)
    เปิดตัวครั้งแรกในปี 1995 แต่ก็ถูกจวกหนักเรื่องการลดต้นทุนที่ใช้ชิ้นส่วนจากรุ่นเดิมมากถึง 40% ทาง Toyota เลยต้องมีการปรับปรุงเพื่อให้มีความหลากหลายและสร้างความเป็นที่นิยมให้ประสบความสำเร็จสูงเหมือนโฉมสามห่วง ผลคือ มันแตกก็เป็นสองโฉมย่อย คือ โฉมตองหนึ่ง ผลิตระหว่าง 1995-1997 และ โฉม Hi-Torgue เริ่มผลิตเมื่อปี 1998-2002 ซึ่งโฉมไฮทอร์กนี้ได้สร้างความนิยมโดยมีคนซื้อไปทำแท็กซี่เป็นจำนวนมาก และนอกจากนี้ ในช่วงโฉม Hi-Torgue  นี้ 


    ตัวรถยังมีทางเลือกตัวถังที่มากมาย ทั้งแบบซีดาน คูเป้ และลิฟต์แบ็ก 3 และ 5 ประตู รวมถึงรุ่นเลวินและทรูโน (AE111) และเป็นครั้งแรกที่โคโรลล่ามีตัวถัง มินิ MPV ออกมาให้เลือกในชื่อ โคโรลล่า สปาซิโอ นอกจากนี้ยังรุ่นนี้เป็นรุ่นสุดท้ายที่ใช้ขุมพลังรหัส A โดยรุ่นที่ทำตลาด คือ รหัส 4E-FE 1,331 ซีซี 85 แรงม้า (PS), 5A-FE 1,498 ซีซี 100 แรงม้า (PS), 4A-FE 1,587 ซีซี 115 แรงม้า (PS) แรงสุดด้วยรหัส 4A-GE 4 สูบ ทวินแคม 20 วาล์ว 1,587 ซีซี 165 แรงม้า (PS) รวมทั้งดีเซล 3C-E 4 สูบ 2,184 ซีซี 79 แรงม้า (PS)

    แม้ขุมพลังของโคโรลล่าในตลาดทั่วโลกยังเป็นรหัส A แต่เวอร์ชันสหรัฐอเมริกา วางเครื่องยนต์ 1ZZ-FE พร้อมระบบวาลว์แปรผัน VVT-i มาตั้งแต่ปี 1998 ก่อนที่ตลาดยุโรปจะได้สัมผัส เครื่องยนต์ ZZ ในรุ่นปรับโฉมของโคโรลล่าเมื่อต้นปีนี้


 
    สำหรับ เมืองไทย AE112 ซีดาน เปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์ 1996 และมีการปรับโฉมทุกปี เช่น โคโรลล่า ซาลูน ในปี 1997 ตามด้วยรุ่นพิเศษฉลองยอดผลิตรถยนต์ในเมืองไทยครบ 1 ล้านคันด้วยตัวถังสีดำเพียง 300 คัน รุ่นลิมิเต็ด ใช้สีเขียวเป็นสีตัวถัง รุ่นปรับโฉมครั้งใหญ่ โคโรลล่า ไฮทอร์คเพิ่ม ขุมพลังรหัส 7A-FE 1,800 ซีซี ในปี 1998  ในปี 1999   Corolla ยังได้เปิดตัวเนื้อหน่อใหม่ในตระกูล Corolla นั่นคือ Corolla Altis ซึ่งจะมีความหรูหรา มีอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย Options ต่างๆ ดีกว่า แต่รูปโฉมตัวรถจะคล้ายโคโรลล่าทั่วไป โฉมที่ 8 นี้ ระงับการผลิตรูปแบบตัวถังประเภท hatchback 5 ประตู liftback 3 ประตู และ station wagon 4 ประตู แต่ได้เอา liftback hatchback และ station wagon 5 ประตูมาผลิตแทน
 โฉมที่ 8 เลิกผลิตในปี 2002 สองปีหลังการเปิดตัวของรถโคโรลล่า โฉมที่ 9

9. Toyota Corolla Altis (2000-2007)  
     เปิดตัวครั้งแรกในปี 2000 เป็นครั้งแรกที่ Toyota แบ่งการจำหน่ายออกเป็น 2 ตัวถัง ได้แก่ แบบแคบและแบบกว้าง ในญี่ปุ่นจะใช้แบบแคบ เพื่อลดการเสียภาษี แต่สำหรับทั่วโลกจะใช้แบบกว้าง เหมือนที่เคยใช้ในการออกแบบ Toyota Camry generation ที่ 3 เมื่อได้รับความนิยมแล้ว ก็มีชื่อเสียงมาถึงปัจจุบัน 


    รูปร่างภายนอกเด่นด้วยไฟหน้าแบบมัลติรีเฟล็กเตอร์และกระจังโครเมียมแบบซี่ตั้ง (1.6J เป็นซี่นอน) รุ่น 1.8 ติดตั้งสปอตไลต์ทรงเฉี่ยวในกันชน ด้านข้างหรูด้วยชุดที่เปิดประตูชุบโครเมียม (1.6J สีเดียวกับตัวถัง) และคิ้วโครเมียมล้อมรอบกระจกหน้าและหน้าต่าง (1.6J สีดำ) รุ่น 1.6J ให้ล้อแม็กลาย 4 ก้าน ขนาด 6 x 14 นิ้ว ยางขนาด 185/70 R14 รุ่น 1.6E และ 1.8 ให้ล้อแม็กลาย 6 ก้าน ขนาด 6 x 15 นิ้ว ยางขนาด 195/60 R15
 



      รุ่นที่เป็นที่นิยมในเมืองไทยมากที่สุดก็ยังเป็น Altis โฉมนี้ได้ทำการยุติการผลิตเกียร์อัตโนมัติ 3 สปีด รวมทั้งการยุติการผลิตตัวถัง coupe 2 ประตู และ liftback 5 ประตู แล้วเอาแบบ van และ hatchback 5 ประตูมาผลิตแทน และยังคงผลิตรุ่นเครื่องดีเซล ขนาดเครื่องยนต์ 2.2 ลิตร ซึ่งไม่มีจำหน่ายในประเทศไทย ส่วนรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน ก็เป็น 1.4 , 1.5 , 1.6 , 1.8 ลิตรเหมือนเดิม 

    โฉมนี้ เป็นที่รู้จักในบ้านเราในฉายา "โฉมหน้าหมู" หรือ "โฉมตาถั่ว" เพราะไฟหน้ามีลักษณะคล้าย เมล็ดถั่ว โดยในประเทศไทยมีนักแสดงชื่อดัง แบรด พิตต์ เป็นพรีเซนเตอร์อีกด้วยครับ

    โฉมนี้ ในประเทศไทย โคโรลล่าได้มีการออกรุ่นใหม่ คือ LIMO ซึ่งจะมีออปชั่นน้อยและต่างจาก Corolla Altis ธรรมดา เพราะว่า LIMO จะไม่มีขายเป็นรถนั่งส่วนบุคคล แต่มีจุดประสงค์เพื่อนำมาทำเป็นแท็กซี่เท่านั้น ถือเป็นหนึ่งในแท็กซี่ที่วิ่งกันมากในเมืองไทย บางคันก็หมดอายุวิ่งแล้ว บางคันก็วิ่งบนถนนอยู่ ถึงเก่าแต่ก็ทนครับ โดยเมืองไทยจะมีขุมพลัง 1.6 ลิตร และ 1.8 ลิตร VVT-i ทำตลาด
    

    Corolla Altis โฉมนี้ ยังมีการผลิตขายอยู่ที่ประเทศจีนในชื่อรุ่น Corolla EX ใช้เครื่องยนต์ Dual VVT-I บล็อก 4ZR-FE 1.6 ลิตร


10. Toyota Corolla Altis (2008-2013)
    เปิดตัวในไทยเมื่อปี 2008 มาพร้อมสโลแกน Be your own stars โดยมี ออแลนโด้ บลูม เป็นพรีเซนเตอร์ ถือเป็นอีกรุ่นที่ฮิตติดตลาดในไทย ยังคงจำหน่าย 2 ตัวถังเหมือนโฉมที่แล้วคือ แบบแคบและแบบกว้าง มีระบบเกียร์ธรรมดาทั้งแบบ 5 หรือ 6 สปีด สำหรับเกียร์อัตโนมัติ จะเป็นแบบ 4 สปีด และ Super CVT-i (ในรุ่นไมเนอร์เชนจ์) ยังคงใช้ขุมพลังเดิมจากรุ่นที่ 9 


   โฉมนี้ เครื่องยนต์ดีเซลยังผลิตอยู่ในบางประเทศประเทศขนาด 1.4 ลิตร และมีเครื่องเบนซินขนาด 1.5 , 1.6 , 1.8 , 2.0 , 2.4 ลิตร และได้ยกเลิกรูปแบบตัวถังออกไปมาก เหลือแต่แบบ sedan station wagon 4 ประตู และ hatchback 5 ประตู ในออสเตรเลีย จะใช้ชื่อในการทำตลาดคือ corolla hatchback นอกนั้นเช่นในญี่ปุน,ยุโรปและในบางประเทศจะใช้ชื่อในการทำตลาดคือ Toyota Auris 

    ในเดือนพฤษภาคม 2009 Toyota ได้เปิดตัวรุ่น 2.0 ลิตร เพิ่มในเมืองไทย ที่มากับขุมพลัง 2.0 ลิตร
3 ZR-FE Dual VVT-i 4 สูบ 16 วาล์ว พละกำลัง 141 แรงม้า ที่ 5,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 189 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด


   ส่วน LIMO ในโฉมนี้ มีการผลิตรถรุ่น LIMO CNG ซึ่งเป็นรถลิโม ที่ติดระบบการใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ มาตั้งแต่ในโรงงานโตโยต้า และ LIMO โฉมนี้ ได้เปิดขายให้กับประชาชนทั่วไปอยู่ช่วงหนึ่งด้วย ก่อนที่จะกลับไปขายทำแท็กซี่โดยเฉพาะเหมือนเดิม โดยโตโยต้าได้ทำรถรุ่น Advanced CNG มาขายให้ประชาชนทั่วไปแทน LIMO CNG
 



   วันที่ 5 สิงหาคม 2010 Toyota ก็แนะนำ Corolla Altis ไมเนอร์เชนจ์ที่ได้โฬม พัชฏะ มาเป็นพรีเซนเตอร์ งานนี้ Toyota ได้แนะนำเครื่องยนต์ใหม่ 1.6 ลิตร และ 1.8 ลิตร Dual VVT-i และยังแนะนำเกียร์ลูกใหม่ในบ้านเรา (แต่เก่าของตลาดโลก) เกียร์ Super CVT-i (สถิตในรุ่น 1.8 ลิตรขึ้นไป) และเกียร์ธรรมดา 6 สปีด 

  การปรับปรุงรถครั้งสุดท้ายในไทย เกิดขึ้นในวันที่ 13 พ.ย. 2012 Toyota ได้เปิดตัว Corolla Altis เครื่อง 1.8 ลิตรเดิมนี่หละ แต่ปรับให้รองรับกับ E85 ได้ งานนี้ได้อั้ม-พัชราภา มาเป็นพรีเซนเตอร์ พร้อมหั่นราคารุ่น 1.8 E จากเดิม 8.64 แสนบาท เหลือ 8.29 แสนบาท,รุ่น 1.8 G เดิม 9.19 แสนบาท เหลือ 8.99 แสนบาท และมีการเพิ่มรุ่น 1.8 G Navi ราคา 949,000 บาทด้วยครับ 

11. Toyota Corolla Altis (2013-Present)
   เดิมที รถรุ่นใหม่จะทำการเปิดตัวในเดือน พ.ย. 57 แต่คงเป็นเพราะช่วงเวลายังไม่ลงตัวหรือกลัวขายไม่ได้ เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงของการชุมนุมด้วย ทำให้ Toyota เลื่อนการเปิดตัวเป็นวันที่ 14 ม.ค. 57 แต่อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ก็เริ่มมีรถทยอยลงศูนย์แล้ว มาพร้อมสโลแกน So...Excited และอีก 1 เดือนให้หลัง Toyota ก็โปรโมทรุ่นย่อยใหม่อีก นั่นก็คือรุ่น ESport ที่ได้ไมค์ พิรัชต์มาเป็นพรีเซนเตอร์ ยังคงมีให้เลือกตั้งแต่ขุมพลัง 1.6-2.0 ลิตร (ไทยโดนตัด 2.0 ลิตรออกไป) งานนี้ Toyota จัดระบบเกียร์ Super CVT-i ใส่ลงไปในเกียร์อัตโนมัติทุกรุ่นย่อย และใช้เครื่องยนต์ระบบ Dual VVT-i ทุกรุ่นย่อยเช่นกันครับ ไม่เว้นแม้กระทั่งรุ่น CNG

     รูปร่างหน้าตาของรถได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด ด้วยหน้าตาใหม่สไตล์ Keen Look ที่เราเห็นมาแล้วกับ Toyota Vios และ Yaris มากับดีไซน์สปอร์ตโฉบเฉี่ยวรอบคัน ตัวรถใหญ่กว่าเดิมแทบทุกสัดส่วน รูปลักษณ์ออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ ดูหรูหราลงตัวและภูมิฐานกว่าเดิมมาก ชุดไฟหน้า LED โปรเจคเตอร์ พร้อมไฟ LED daytime สำหรับวิ่งกลางวัน (เฉพาะ 1.8 V และ 1.8 S) ไฟท้าย LED ใหม่แบบ surface illumination รูปทรงเรียว ล้ออัลลอยมีให้เลือก 3 แบบ ทุกรุ่นมากับล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว ยกเว้นในรุ่น 1.6 J และ 1.6 J CNG มากับล้ออัลลอย 15 นิ้ว และรุ่น 1.8 ESport มากับล้ออัลลอย 17 นิ้ว

   ด้านเครื่องยนต์นั้นมากับเครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร 1ZR-FE ให้พละกำลัง 122 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 154 นิวตัวเมตรที่ 5,200 รอบ/นาที และเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร 2ZR-FBE กำลังสูงสุด 141 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 173 นิวตันเมตรที่ 4,000 รอบ/นาที รองรับเชื้อเพลิง E85 ได้ตามด้วยเครื่อง Bi-Fuel Type 1ZR-FE 1.6 ลิตร พละกำลัง 122 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 154 นิวตัวเมตรที่ 5,200 รอบ/นาที ทั้งหมดส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i 7 สปีด ยกเว้นในรุ่น 1.6 J M/T และ 1.6 J CNG M/T จะมากับเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ราคาเริ่มต้นที่ 769,000-1,079,000 บาทครับ

ประวัติ Ferrari คู่แข่งตัวฉกาจ ของค่ายกระทิง !!


Ferrari History
เอน โซ เฟอร์รารี่ (Enzo Ferrari) เกิดเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 1898 ในเมือง Modena เป็นลูกชายคนเล็กของครอบครัว (พี่ชายคนโตชื่อ อัลเฟรโด (Alfredo) เช่นเดียวกับบิดา) ในวัยเด็ก ฐานะของครอบครัวไม่มีอะไรน่าวิตกมากนัก จนพ่อของเขาเป็นเจ้าของบริษัทเกี่ยวกับเหล็ก และ โครงสร้างเหล็ก ชีวิตในวัยเด็กของเอนโซ FERRARI ไม่มีอะไรน่า ตื่นเต้น จนกระทั่งพ่อพาเขาไปดูการแข่งรถเป็นครั้งแรกในชีวิต


ไม่ นานนักก็ถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งซึ่งทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงไป มาก พ่อและพี่ชายเสียชีวิต FERRARI จำเป็นต้องขายธุรกิจครอบครัว และเดินทางไปหางานทำและใช้ชีวิตอยู่ใน Turin เรื่อยมา หลังจากที่ทำงานหลายอย่าง กระทั่งในโรงงานอุตสาหกรรมเกี่ยวกับรถยนต์ ในที่สุดเขาก็ได้เข้าทำงานอย่างจริงจังในบริษัทผลิตรถยนต์ของอัลฟา โรมีโอ (Alfa Romeo) และที่นี่เองความสามารถเกี่ยวกับเครื่องยนต์ของเขาได้ฉายแววออกมาอย่างเด่น ชัด ในตอนแรก FERRARI ทำหน้าที่เป็นช่างซ่อมเครื่องยนต์ ต่อมาก็เลื่อนตำแหน่งเป็นนักขับรถทดสอบเครื่องยนต์ จากนั้นไม่นานเขาก็สามารถก้าวขึ้นมายืนอยู่ในตำแหน่งผู้จัดการ ฝ่ายการตลาด พร้อมทั้งเป็นเอเยนต์ขายรถยนต์อัลฟา โรมีโอ ในแคว้นเอมีเลียม-โรมานยา (Emilia-Romagna) ในเวลาเดียวกัน
ในช่วงที่ FERRARI เป็นนักขับรถเพื่อทดสอบเครื่องยนต์เขาก็เข้าแข่งขันรถหลายครั้งจนในวันที่ 1 ธันวาคม 1929 เขาก็ได้ตั้งทีมแข่งรถของตัวเองขึ้นมาโดยใช้ชื่อว่า The Societa Anonima Scuderia Ferrari (The Ferrari Team) เพื่อเข้าแข่งขันในทุกรายการที่จัดขึ้นโดยใช้รถของอัลฟา โรมีโอ และในช่วงนี้เองที่มีการผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ เพื่อเข้าแข่งขันมากขึ้น เช่นรถ Alfa Romeo 2 เครื่องยนต์ซึ่งผลิตโดยลุยกี บาซซี่ (Luigi Bazzi) และ Alfa158 ซึ่งผลิตใน Modena จากฝีมือของ FERRARI เองเมื่อครั้งที่รับตำแหน่งผู้จัดการทีมแข่งรถของ Alfa Romeo
เมื่อ ทีม Scuderia Ferrari ประสบความสำเร็จในการแข่งขัน FERRARI ก็คิดจ้างนักขับรถแข่งมืออาชีพเข้ามาร่วมทีมด้วย อาทิ ทาซิโอ นูโวลารี่ (Tazio Nuvolari) รวมทั้ง ทาร์โก โฟลริโอ (Targo Florio) ซึ่งได้รับชัยชนะในการแข่งขันปี 1932 ในการแข่งขัน Mill Miglia ปี 1933 และในการแข่งขัน Germany Grand Prix ที่ Nurburgring ปี 1935 แต่แล้วอยู่ ๆ FERRARI ก็เกิดความขัดแย้งกับนูโวลารี่ ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดความขัดแย้งกับนักขับรถแข่ง คนอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน
ใน ปี 1935 รถแข่ง 2 เครื่องยนต์ 1 ที่นั่ง 8 สูบ ความเร็ว 300 กม./ช.ม. คันแรกของ FERRARI ภายใต้ชื่อของอัลฟา โรมีโอ ก็เข้าร่วมการแข่งขันด้วย แต่ก็ต้องกลายเป็นรถไร้สมรรถนะไป เพราะยางรถยนต์มีความลึก มากเกินไป 

ใน วันที่ 1 มกราคม 1938 อัลฟา โรมีโอ ประกาศตั้งทีมแข่งรถของตัวเองอย่างแท้จริงขึ้นมาบ้าง เพื่อนำรถแข่ง Alfa Romeo เข้าแข่งขัน ภายใต้ชื่อทีม Alfa Corse Banner และได้แต่งตั้ง FERRARI ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการฝ่ายการแข่งรถในทีมใหม่นี้ด้วย
ใน ช่วงปลายปี 1939 เกิดความตึงเครียด และไม่เข้าใจกันระหว่าง FERRARI และปิเอร์ อูโก กอบบาโต (Pier Ugo Gobbato) ลูกชายของอัลฟา โรมีโอ ซึ่งเป็นผู้อำนวยการคนหนึ่งของบริษัท รวมทั้งการที่ FERRARI ไม่เคารพ ริการท์ (Ricart) วิศวกรเครื่องยนต์ใหญ่ชาวสเปนของอัลฟา โรมีโอ จึงเป็นเหตุให้ FERRARI ต้องยุติ บทบาทของตัวเองในบริษัท อัลฟา โรมีโอ โดยสิ้นเชิง และออกจากบริษัทไปพร้อมกับเพื่อนร่วมงานที่สนิทกันมากอีกสองคนคือ ลุยกี บาซซี่ (Luigi Bazzi) และ อัลแบร์โต มาสซิมิโน (Alberto Massimino) แต่บ้างก็กล่าวว่า สาเหตุหลักของการออกจากบริษัทอัลฟา โรมีโอ ในครั้งนี้ลึกซึ้งกว่าที่กล่าวไปแล้ว ข้างต้น คือ FERRARI ไม่ต้องการเป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาตลอดไป ยิ่งไปกว่านั้นเขายังรู้สึกอีกว่าถ้าใครคนหนึ่งที่ทำงานอยู่ในบริษัทเดิมนาน เกินไป ก็จะสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไป นอกจากนี้แล้ว ยังมีอีกสาเหตุหนึ่งก็คือ ผู้อำนวยการหลายคนของบริษัทแช่แข็งความสามารถของ FERRARI นานกว่า 4 ปี ไม่ยอมให้เขาผลิตรถยนต์ใหม่ ๆ ขึ้นมา และแม้กระทั่งไม่ยอมให้เขาเข้าร่วมการแข่งขันใด ๆ เลย เขาจึงต้องหาทางแก้เผ็ดอัลฟา โรมีโอ และหันหลังให้กับอัลฟา โรมีโอ จากนั้นก็เดินทางกลับไปยังบ้านเกิด Modena พร้อมกับเพื่อนอีกสองคนเพื่อก่อตั้งบริษัทของตนเองขึ้นมา โดยใช้ชื่อว่า Auto Avio Construzioni
ในช่วงแรกซึ่งอยู่ในระหว่าง สงครามโลก บริษัทของเขาผลิตได้แต่เพียงชิ้นส่วนเครื่องยนต์เท่านั้นจนถึงปี 1940 รถสปอร์ต spider-type 8 สูบ ที่ชื่อว่า Auto Avio Construzioni 815 ก็ถูกผลิตขึ้นมา โดยคาร์รอซเซอเรีย ทัวริ่ง (Carozzeria Touring) จากนั้นก็มีออกมาอีกหลายคัน จนในปี 1946 รถยนต์ FERRARI ที่แท้จริงคันแรกก็เกิดขึ้นโดยใช้ชื่อว่า the 125 sport เป็นรถยนต์คันแรกที่มี 12 สูบ จุน้ำมันไดครึ่งลิตร มาจากมันสมองและน้ำมือของวิศวกรเครื่องยนต์ลุยกี บาซซี่และจิโออาชิโอ โคลอมโบ (Gioachio Colombo) ดีไซเนอร์ซึ่งเคยอยู่กับอัลฟา โรมีโอ และเคยออกแบบ Alfa 158 สำหรับ FERRARI ในปี 1937 มาแล้ว นับว่า 125 นี้ไม่ธรรมดาเลย เพราะในประเทศ อิตาลีหลังสงครามโลกแล้วยังไม่มีรถยนต์คันใดที่มี 12 สูบเลย แต่รถยนต์เฟอร์ารี่คันแรก ที่มีเครื่องหมายม้าสีดำทะยานอยู่ในพื้นสีเหลืองด้านบนเป็นสีธงชาติ ของ อิตาลี และด้านล่างมีอักษร F หางยาวนั้นก็เริ่มผลิตออกมาในปี 1947 และทดลองวิ่งเมื่อวันที่ 12 มีนาคมปีเดียวกันนั้นเอง และนั่นก็คือจุดกำเนิดของสัญลักษณ์ม้าทะยาน ซึ่ง เป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของรถยนต์ FERRARI แต่ก่อนหน้านี้สัญลักษณ์ม้าทะยานนี้มีใช้ก่อนแล้วโดยจะเห็นได้ที่รถแข่งทุก คันของทีมแข่งรถของ Scuderia Ferrari ของ FERRARI ในช่วงยุค 30s แต่ยังไม่ใช้อย่างเป็นจริงเป็นจัง และมีรูปแบบแตกต่างกันไป สำหรับสัญลักษณ์ม้าทะยานนี้ แรกเริ่มเดิมทีติดอยู่ที่เครื่องบินของกองทัพในช่วงยุค 20s มีเรื่องเล่าว่าเมื่อครั้งที่ FERRARI ยังเป็นนักแข่งรถอ่อนประสบการณ์ เขาได้พบกับพ่อแม่ของ ฟรานเซสโก บารักกา (Francesco Baracca) ซึ่งเป็นนักขับเครื่องบินชาวอิตาเลียนตัวยงในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และเป็นชาวเมือง Lugo เช่นเดียวกับแม่ของ FERRARI ทันทีที่ FERRARI เห็นสัญลักษณ์ม้าทะยานซึ่งติดอยู่ที่เครื่องบินของครอบครัวนี้ เขาก็เกิดความสนใจในรูปลักษณ์ของมัน และเมื่อรู้ว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของความโชคดี เขาจึงนำม้าทะยานนี้มาใช้ในทีมแข่งรถ
แต่ FERRARI ก็ยังไม่ได้ใช้สัญลักษณ์ม้าทะยานในทันที เขาเก็บเอาไว้นานหลายปี จนกระทั้งมีทีมแข่งรถของตัวเองซึ่งก็คือ Scuderia Ferrari นั่นเอง อาจมีคำถามว่าทำไมครอบครัวบารักกาจึงต้องมีม้าทะยานติดอยู่ที่เครื่องบินของ พวกเขา คำตอบก็คือ เช่นเดียวกับนักบินคนอื่นๆ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ที่ต้องขึ้นกับกรมทหารม้า Piedmontese Cavalry Regiment ซึ่งมีม้าทะยานเป็นสัญลักษณ์ก็เป็นได้ ส่วนพื้นด้านหลังของสัญลักษณ์เป็นสีเหลืองนั้นก็ใช้แทนสีของ Modena นั่นเอง 
หลังจากที่ได้มีการแนะนำ 125 Sport แล้วก็นำเข้าร่วมการแข่งขัน ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง 125 สามารถคว้าชัยชนะมาได้ในช่วงปีเดียวถึง 7 ครั้ง เริ่มจากครั้งแรกวันที่ 5 พฤษภาคม เมื่อฟรังโก คอร์เตส (Franco Cortes) พา 125 เข้าเส้นชัยในรายการ Rome Grand Prix และครั้งนี้เองที่สร้างความฮือฮาให้กับคนในวงการแข่งรถมาก เพราะฟรังโก เพื่อนของ FERRARI ไม่ได้เป็นนักขับรถแข่งมืออาชีพ แตเป็นเพียงเซลส์ขายชิ้นส่วนเครื่องยนต์ของ FERRARI เท่านั้น 
ในปี 1948 ปีที่สองของการก่อสร้างตัวรถสปอร์ตและรถแข่งใหม่ๆ เช่นฟอร์มูล่า-2 ก็เริ่มได้รับชัยชนะมากขึ้น เช่น ชัยชนะในรายการแข่งขัน Mill Miglia และในการแข่งขันที่สต็อกโฮม ซึ่งถือเป็นชัยชนะนอกบ้านครั้งแรกของ FERRARI แม้ว่า FERRARI จะประสบความสำเร็จอย่างสูงในบ้านของตัวเอง แต่ชื่อเสียงของเขาก็ยังไม่เป็นที่รู้จักของทั่วโลก จนกระทั่ง ลุยกี ซีเนตตี้ (Luigi Chinetti) อดีตช่างเครื่องของอัลฟา โรมีโอ และเพื่อนของ FERRARI ที่สามารถคว้าชัยชนะจากการแข่งขันในรายการขับทน 12 ชั่วโมงในปารีส และในปีต่อมาก็คว้าชัยได้ในรายการ  ขับทน 24 ชั่วโมง นับแต่นั้นมาชื่อเสียงของ FERRARI จึงกลายเป็นที่นรู้จักในวงกว้างรวมถึงในอเมริกาด้วย

      สำหรับ Formula 1 คันแรก ผลิตขึ้นที่ Turin เมื่อเดือนกันยายน 1948 แต่เข้าร่วมแข่งขันครั้งแรกในสนาม Garda Circuit เมื่อวันที่ 24 ตุลาคมปีเดียวกัน และได้รับชัยชนะอย่างสวยงามด้วยฝีมือการขับของ นีโน ฟารีน่า (Nino Farina) จากนั้นในเดือนพฤษจิกายนปีเดียวกัน FERRARI ก็นำรถยนต์ 2 คัน ซึ่งผลิตด้วยฝีมือของ ทัวริ่งนำออกแสดงในงาน Turin Motor Show  ซึ่งรถทั้งสองคันนั้นก็คือ Berlinetta และ Barchetta 166 จากนั้นก็มีรถใหม่ๆ ออกมาอีกหลายคันทั้งที่เป็น Sport, Grand Touring Car, Formula-2 , Formula Libre ในช่วงนี้เองที่บริษัทของ FERRARI แข็งแกร่งขึ้นมาก เพราะมีผู้เชี่ยวชาญทางด้านเครื่องยนต์และวิศวกรเครื่องยนต์ฝีมือดีอีกมาก มาย ทั้งจิโออาชิโอ โคลอมโบ ซึ่งออกจากบริษัทอัลฟา โรมีโอ และอยู่กับ FERRARI จนกระทั่งถึงปี 1951ม, ออร์ลิโอ แลมเพรดี้ (Aurelio Lampredi) ซึ่งอยู่กับ FERRARI ตั้งแต่ 1948-1955 ซึ่งทั้งสองคนนี้ช่วยกันสร้างรถยนต์รุ่นแรกๆ อย่าง125, 159 จนกระทั่งถึงรถยนต์รุ่นหลังๆ 166, 195, 212, 225, 275, 340 และ 375 นับเป็นความโชคดีของ FERRARI ที่ได้เพื่อนร่วมงานที่มีความสามารถสูง ทีมของเขาจึงสามารถคว้า     ชัยชนะจากรายการแข่งขันต่างๆมากมาย เช่นในปี 1949 บิโอเนตตี้ และซาลานี่ ได้รับชัยชนะอีกครั้งในรายการ Mile Miglia ด้วยรถ Barchetta 166 ในขณะที่อัสคารี่ได้รับชัยชนะในรายการ Formula 1 Grand Prix ที่ Monza  เมื่อวันที่ 11 กันยายน ด้วยรถ FERRARI 2 ลิตร ซึ่งรถคันนี้ผลิตเพื่อเข้าแข่งขันโอเพ่นฟอร์มูลาซึ่งเปิดสำหรับผู้เข้าแข่ง ขันจากทั่วโลก และเพื่อเป็นการหาลูกค้าใหม่ๆด้วย

     ในปี 1950 FERRARI หันมาให้ความสนใจกับเครื่องยนต์ไอพ่น ซึ่งออร์ลิโอ  แลมเพรดี้ หัวหน้าวิศวกร เครื่องยนต์ เป็นผู้แนะนำให้รู้จัก และเขาก็เอามาใช้กับรถแข่งรุ่นใหม่ๆของเขา ซึ่งในการตัดสินใจครั้งนี้ถือว่าเป็นการเสี่ยงนั้น ทำให้ FERRARI ประสบความสำเร็จ และมีชัยเหนืออัลฟา โรมีโอ สมความตั้งใจ กล่าวคือ ในวันที่ 14 กรกฎาคม 1951 ฟรออิลาน กอนซาเลซ (Froilan Gonzalez) หรือที่รู้จักกันดีในนามของ (The Pampas Bull) สามารถพารถยนต์รุ่น 375-F1 ของ FERRARI คว้าชัยเหนือรถคู่แข่ง 158 ของอัลฟา โรมีโอ จากการแข่งขัน  British Grand Prix ได้สำเร็จ นับเป็นชัยชนะครั้งแรก ซึ่งทำให้ FERRARI ถึงกับประกาศว่า "ในที่สุด ผมก็โค่นบริษัทแม่      ลงได้แล้ว"



     ใน ปี 1952 FERRARI ได้รับชัยชนะทั่วโลกเป็นครั้งแรก จากฝีมือของ อัลแบร์โต อัสคารี่ (Alberto Ascori) ด้วยรถยนต์ชนิด 500 ซึ่งเป็นรถคันแรก ที่ใช้เครื่องยนต์แบบ 4 สูบ และในปีนี้เอง ที่เห็น FERRARI ใช้ตัวรถถังของ Pininfarina และนั้นก็เป็นต้นกำเนิดของการเป็นหุ้นส่วนกันของทั้งสองรถที่ผลิตขึ้นภายใต้ ความร่วมมือของทั้งสองก็คือ 212 Intercabriolet, รถยนต์แบบ Gts ซึ่งมี 250 Europa ,The 340 Mexico และThe 340 Mille Miglia

      จากนั้นในปี 1953 อัสคารี่ ก็พารถ 500 เข้าเส้นชัยกลายเป็นแชมป์เปี้ยนโลกครั้งที่ 2นอกจากนี้แล้ว   มาร์ซอนโต (Marzotto), ฟารีน่า (Farina) และอัสคารี่ ยังสามารถควบ 340  MM และ  375 MM  เข้าเส้นชัยในรายการ World Constructors Championship สำหรับรถสปอร์ตได้อีกด้วย

      ปี 1954 FERRARI นำทีมของเขาซึ่งประกอบด้วยนักแข่ง ฟารีน่า, แมกลีโอลี่ (Maglioli), กอนซาเลซ, ตรินติยองต์(Trintignant) และฮอว์ธอร์น  (Hawthorn) และรถรุ่น 375 MM, 750 Monza แบบ 4 สูบเข้าร่วมการแข่งขัน Formula One World Drivers Championship โดยเพิ่มสมรรถนะของเครื่องยนต์จาก 2 ลิตร เป็น 2.5 ลิตร ซึ่งเขาก็คว้าชัยมาได้อีกครั้งอย่างสวยงาม และในปีเดียวกันเขาได้นำรถยนต์ 250 GT ไปร่วมแสดงในงานมอเตอร์โชว์อีกด้วย
      ปี 1955 FERRARI ยังคงอุทิศตัวเองให้กับการผลิตรถยนต์คันใหม่ๆ ขึ้นมา และเขาก็ได้ตัดสินใจรับช่วงต่อโครงการแข่งรถ ของวิตโตริโอ จาโน (Vittorio Jano) แต่ยังให้เขาถือหุ้นอีกต่อไปนานถึง 30 ปี
               
      ปี 1956 เป็นปีที่ FERRARI ต้องสูญเสีย ดีโน (Dino) บุตรชาย ด้วยโรคลูคีเมีย แม้ว่าจะเสียใจแต่เขาก็    ไม่ทอดทิ้งการทำงาน FERRARI เริ่มมีเครื่องยนต์แบบ 6 สูบออกมาใช้ และเขาก็ได้รับชัยชนะ จากการแข่งขัน Constructors' World Championship ด้วยรถยนต์ 850 Monza และ 290MMซึ่งขับโดย ฟังจิโอ ( Fangio),   คาสเตลลอนตี้ (Castellotti), ตริน ติยองค์ และฟิล ฮิลล์ (Phil Hill) รวมทั้งปีนี้ยังมีการนำเอาอัลลอยด์เบา         มาใช้ทำถังบรรจุน้ำมันอีกด้วย

     ปี 1957 FERRARI นำเอารถรุ่นใหม่ 315s และ335s ซึ่งขับโดยมุสโซ (Musso), คาสเตลลอตตี้,         เกรกอรี่ (Gregory), คอลินส์ (Collins), ฟิลฮิลล์ และทารุฟฟี่ (Taruffi) เข้าร่วมการแข่งขัน ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง รถทั้งสองคันคว้าชัยมาให้ได้อีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้น 335s ก็ยังสามารถคว้าชัยจาการแข่งขัน Mill Miglia มาได้อีกครั้งหลังจากที่พลาดมาหลายปีแล้ว

     ปี 1958 นักแข่งรถชาวอังกฤษ ไมค์ ออว์ธอรน์ (Mike Hawthorn) ชนะเลิศการแข่งขัน Formula One Championship ประเภทเครื่องยนต์ 6 สูบ ซึ่งในครั้งนี้รถที่เข้าใช้ในการแข่งขันก็คือ Dino 246 นอกจากนี้แล้ว FERRARI ก็ยังได้รับชัยในรายการ Sport Car Championship ด้วยรถ 250 Testarossa ซึ่งขับโดย คอลลินส์,     ฟิลฮิลล์, มุสโซ และเกนเดอ เบียน (Gendebien)


     ปี 1959 รถแข่งของ FERRARI ซึ่งแต่เดิมมีเครื่องยนต์ด้านหลังเครื่องยนต์เดียว ก็เปลี่ยนมาเป็น 2 เครื่องยนต์ จุน้ำมันได้ 2.5 ลิตร สำหรับรถ Formula1 และจุน้ำมัน 1.5 ลิตร สำหรับ Formula 2

     ปี 1960 250 Testarossaซึ่งขับโดย ฟิล ฮิลล์, อัลลิสัน (Allision), แฟรร์ (Frere) และเกนเดอเบียน   ก็แผลงฤทธิ์อีกครั้ง สามารถคว้าชัยจากรายการ Sport Car Constructors' Championship นอกจากนี้ความสำเร็จอีกอย่างของ FERRARI ก็คือสามารถ ผลิตรถแข่งรุ่นใหม่ได้อีกคัน 410 หรือที่รู้จักกันอย่างดีว่า Superfast ซึ่งถือว่าพิเศษสุดเพราะเป็นรถต้นแบบให้กับรถยนต์รุ่นเล็กขนาด 850 CC ซึ่งรู้จักกันในนามของ Ferrari ต่อมาภายหลังโครงการนี้ได้ถูกขายต่อให้กับนักธุรกิจจากมิลาน ซึ่งเปิดบริษัทใหม่ และเมื่อสำเร็จแล้ว ก็เรียกมันว่า ASA

     แต่ ในปีนี้สิ่งที่ถือว่าสำคัญมากที่สุดก็คือ ตัวถังแบบ 250 2+2 ของ Pininfarina นับว่าเป็นรถยนต์        ไฮคลาส ซึ่งมีสมรรถนะสูงสุดใช้เทคนิคชั้นสูงในการผลิตมีถึง 4 ที่นั่ง และกลายเป็นรถยนต์ซึ่งมีโครงสร้างภายในที่เป็นต้นแบบ ขอรถยนต์ FERRARI ในยุคปัจจุบัน

      นอกจากนี้ในปีนี้ นับเป็นปีที่สำคัญสำหรับ FERRARI อีกเช่นกัน เพราะบริษัท Auto Avia Construzioni Ferrari ของเขาเติบโตอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท Societa Esercizio Fabbriche Automobile Corse (SEFAC) โดยมีเอนโซ FERRARI ดำรงตำแหน่งประธานบริษัท จนถึงปี 1977 เขาก็ได้รับเกียรติ ให้เป็นประธานกิตติมศักดิ์ ของบริษัท และบริษัทใหม่นี้ก็สามารถผลิตรถยนต์ได้มากถึงปีละ 500 คัน แต่การแข่งขันของตลาด  รถยนต์ก็ยังเพิ่มสูงขึ้น บริษัทผลิตรถยนต์ชั้นนำในช่วงนี้ได้แก่  Porche, Maserati, Jaguar, Aston Martin เป็นต้น SEFAC เริ่มมีรถที่ใช้ในการแข่งขันเพิ่มมากขึ้นคือจะมีตั้งแต่รถ  Formula-1 , Sports Prototypes และ GT Racing นอกจากนี้เครื่องยนต์ใหม่ๆอย่าง CS1 ก็ยังมีการแนะนำออกมาแล้วในช่วงนี้



      ปี 1961 ฟิล ฮิลล์ สามารถพารถแข่ง the 156 เครื่องยนต์หลังคว้าชัยจากรายการ Formula One World Drivers' Championship และกลายเป็นชาวอเมริกาคนแรกที่สามารถชนะเลิศรายการนี้ได้ นอกจากนี้รถแข่งรุ่น the 250 TR และ 246 P ซึ่งขับโดย ฟิล ฮิลล์, เกนเดอเบียน, ฟอน ทริปส์ (Von Trips) กินเธอร์ (Ginther),  บันดินี่ (Bandini) และสคาร์แลตตี้ (Scarlatti) คว้าชัยจากรายการ Sport Car Constructors' Championship รวมทั้ง246 P ยังเป็นรถแข่งเครื่องยนต์หลังรุ่นแรกในการแข่งประเภทนี้อีกด้วย
ปี 1962 FERRARI นำรถของเขาคว้าชัยจากรายการการแข่งขันนานาชาติได้มาหลายรายการ เช่น International Speed และ Endurance Challenge ด้วยรถ 330LM และ 250 GTO รถแข่งอีกคันหนึ่งซึ่งอยู่ในประเภทของ GT Berlinetta ส่วน Dino 196 SP ก็คว้าชัยจากรายการ International GT Constructors'  Championship และ Europa Hill Climbing Championship

       ปี 1963 FERRARI ได้รับชัยชนะจากการแข่งขัน GT International Constructors'  Championship ซึ่งรถที่เข้าแข่งขันต้องเป็นเครื่องยนต์แบบ 3,000 ซีซี ขึ้น ไปและเขาก็เอา 250P และ 330 TRILM (มากกว่า 3,000   ซีซี) เข้าร่วมการแข่งขันรวมทั้งยังนำเอา 250 P เข้าร่วมการแข่งขัน Internatinal Speed and Endurance Challenge อีกด้วย

       ปี 1964 นักแข่งรถชาวอังกฤษ จอหน์ เวโต (John Vento) กลายเป็นนักแข่งรถ Formula One World Championship คนแรก รวมทั้ง FERRARI ก็ได้รับชัยชนะจากการแข่งขัน Formula One World Constructors' Championship และ The International Speed and Endurance Challenge นอกจากนี้รถยนต์รุ่นใหม่ 12 สูบ Horizontal ก็ยังได้รับการนำออกมาแสดงอีกด้วย

       ในช่วงปลายปี 1963 การแข่งขันทางการตลาดรถยนต์เริ่มมีมากขึ้นหลายเท่า บริษัทผู้ผลิตรถยนต์    รายใหญ่ในอเมริกา เฮนรี่ ฟอร์ด (Henry Ford) ก็มีความคิดที่จะเป็นเจ้าของบริษัท FERRARI   ซึ่งตอนแรก FERRARI มีทีท่าเห็นด้วย จึงได้มีการตกลงเซ็นสัญญา คือในวันที่ 20 พฤษภาคม 1963 แต่แล้วก็ต้องถือเป็นโมฆะไป เพราะสัญญาดังกล่าวไม่ให้อิสระกับ FERRARI ในการผลิตรถยนต์ของเขาเองเลย

       เมื่อเฮนรี่ ฟอร์ด เกิดความไม่พอใจจึงคิดหาวิธีแก้แค้นในสนามแข่งขันที่ FERRARI เข้าร่วม  ในปี 1964    นี้เองที่รถฟอร์ดรุ่น Daytona coupe ได้รับชัยชนะจากการแข่งขันประเภท GT ที่ Le Mans แต่หลังจากนั้น ติดต่อกัน 4  ปี รถแข่งของฟอร์ดก็ไม่สามารถเอาชนะ FERRARI ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขัน Le Mans 24 ชม. หรือแม้กระทั่งการแข่งทน

       ใน ปี 1965 FERRARI ได้รับชัยชนะอีกครั้งจากการแข่งขัน International GT Prototype Tropy และ    แข่งทนด้วยรถรุ่น P2 และในช่วงปีนี้ที่รถเครื่องยนต์หลัง Dino 166 ได้รับการแนะนำ และนับเป็น รถแข่งคันแรก  ที่มีชุดเครื่องยนต์ 6 สูบ และภายหลังเปลี่ยนเป็น 8 สูบ รวมทั้งยังมีการนำเอา CS1 แนะนำให้กับหุ้นส่วนของ FERRARI ได้รู้จัก ในเดือนมกราคม ตัวแทนของบริษัท เฟียต (Fiat) ได้เดินทางมายัง Maranello เพื่อถือสิทธิในเครื่องยนต์รุ่นใหม่ ซึ่งมีสมรรถนะสูง 2 คัน ก็คือ Coupe และ Cabriolet  และได้มีการทำความตกลงกัน ซึ่งทำให้เฟียต ต้องผลิตรถยนต์แบบ 6 สูบ ความจุ 2 ลิตร ซึ่งออกแบบโดย ฟรังโก รอชชี่ (Franco Rocchi) ออกมาถึง   500 คัน ในปลายปีนี้และนำเอาเครื่องยนต์นี้มาใช้ในรถแข่ง Formula-2 ในช่วงต้นปี 1967

       ในปี 1966 เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในการแข่ง Formula-1 ซึ่งก็คือ มีการนำเอารถแข่งซึ่งมีความจุ 3 ลิตรเข้ามาใช้ในการแข่งขันเป็นครั้งแรก ซึ่ง FERRARI ก็นำรถ 312 เข้าแข่งในขณะที่ 330 P3 ซึ่งเป็นรถ สปอร์ตเครื่องยนต์หลังรุ่นล่าสุด เข้าแข่งขันในรายการรถสปอร์ต

      ในปี 1967 FERRARI มีชัยจากการแข่งขัน International Sports Prototype Constructors' Championship  ด้วยรถคันใหม่ P4 ซึ่งที่เรียกว่า Can Am ซึ่งเป็นรถแข่งที่สมรรถนะสูงที่สุดเท่าที่ FERRARI เคยผลิตรถมา สามารถบรรจุน้ำได้ถึง 7 ลิตร

      ในปี 1968 รถยนต์คันแรกที่เกิดจากความร่วมมือกันระหว่าง FERRARI และเฟียตก็ถือกำเนิดขึ้นมา ซึ่งก็คือ 365 GTB/4 หรืออีกชื่อหนึ่ง Daytona  เป็นรถยนต์ล่าสุดทีเป็นแบบเครื่องยนต์หน้า 2 ที่นั่ง

       ในวันที่ 18 มิถุนายน 1969 FERRARI ขายกิจการ SEFAC ให้กับจิอานนี่ แองเนลลี่ (Gianni agnelli) ถึง 50% แต่การตกลงดังกล่าวเห็นฟ้องกันเมื่อครั้งที่ FERRARI เสียชีวิตแล้ว อีก 40% ของที่เหลือกลับคืนสู่เฟียต และอีก 10 % เป็นของ ปิเอโร่ ลาร์ดี่ FERRARI (Piero Lardi Ferrari) และในปีเดียวกันนี้เองที่รถรุ่น 246 GT เริ่มเข้ามามีบทบาท



        ในปี 1971 มีการแนะนำรถคันใหม่ล่าสุด ออกสู่วงการซึ่งก็คือ 365 GT/4BB หรือที่เรียกกันว่า Berlinetta Boxer เป็นรถรุ่น GT คันแรก ซึ่งใช้เครื่องยนต์ 12 สูบ

        ในปี 1976 FERRARI มีชัยชนะในรายการ Formula One Constructors' Cup อีกครั้งหนึ่ง ส่วนรถรุ่นใหม่ที่ผลิตออกมาในปีนี้ ก็คือ 512 BB และ 400 Automatic นับเป็นคันแรกของ FERRARI ที่เป็นแบบอัตโนมัติ

       1980 ในงาน Turin Motor Show Pininfarina ได้นำรถรุ่น Pinin Prototype นำออกแสดงนับเป็นรถ  4 ประตูเพียงคันเดียว ตั้งแต่มีการผลิตออกมาซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยมีความคิดจะผลิตรถ 4 ประตูเลย มีเพียง 2 ประตูเท่านั้น แม้ว่ารถบางคันอย่าง Mondial จะมีถึง 4 ที่นั่งก็ตาม

       จากปี 1983 เป็นต้นมา รถแข่งของ FERRARI ก็ถูกผลิตขึ้นที่โรงงานแห่งใหม่ใน Via Ascari ซึ่งติดอยู่กับสนามทดสอบแข่งรถ Fiorano ใน Maranello

       1984 นับเป็นปีทองของรถรุ่นใหม่ GTO  ซึ่งนำแสดงในงาน Geneva Motor Show รวมทั้ง Testarossa รุ่นใหม่ในปารีสด้วย ซึ่งทั้ง 2 รุ่นนี้ไม่เพียงแค่สร้างตำนานของ FERRARI เท่านั้น แต่ยังกลายเป็นรูปลักษณ์ที่วิเศษสุด และไม่สร้างความผิดหวังให้เลย

         ในวันที่ 21 กรกฏาคม 1987 ได้มีการจัดงานฉลองครบรอบ 40 ปีของบริษัท ซึ่งในงานนี้รถใหม่ล่าสุดอย่าง 288GTO และ F40  ก็ได้รับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ และในอีกไม่กี่ปีต่อมา F40 ก็กลายเป็นรถหายากที่สุดในโลก

        ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 1988 ได้มีการจัดงานฉลองครบรอบ 90 ปี ของ FERRARI ผู้คนที่เดินทางมาร่วมงานในครั้งนี้มีเพียงเจ้าหน้าที่เพื่อนร่วมงานและ พนักงานในบริษัทของ FERRARI เท่านั้น และมีการแจกรูปจำลองของ F40 และเหรียญที่ระลึกเป็นของชำร่วย

       จากนั้นวันที่ 14 สิงหาคมปีเดียวกัน FERRARI ก็เสียชีวิตลงที่บ้านเกิดเมือง Modena พิธีฝังศพของเขาก็มีขึ้นในวันต่อมา และในวันที่ 11 กันยายน เบอร์เกอร์ (Berger) และอัลแบร์โต ก็ต้องยุติอาชีพนักแข่งรถในรายการ Italian Grand Prix ที่ Monza

         หลังจากการเสียชีวิตของ FERRARI ปิเอโร ฟูซาโร (Piero Fusaro) ก็ดำรงตำแหน่งประธานบริษัทโดยมี  ปิเอโร ลาดี FERRARI เป็นรองประธาน และ จิโอวันนี่ บัตติสตาร์ ราเซลลี่ (Giovanni  Battista  Rozelli) เป็นผู้อำนวยการจัดการ

         ในต้นยุค 90s การแข่งขันทางการตลาดของรถยุโรปเริ่มชลอตัว อาจเป็นไปตามกฎที่ว่าอะไรที่หายากก็ย่อมเป็นที่ต้องการอย่างมาก ตามข้อมูลทางการผลิตของ FERRARI จำนวนรถยนต์ที่ผลิตในแต่ละปีมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ เช่นในปี 1971 ผลิตรถยนต์ประมาณ 1,246 คันต่อปี 1979 ประมาณ 2,221 คัน ปี 1985 ประมาณ 3,119 คัน และสุดท้ายเพดานการผลิตก็ตันอยู่ที่ 4,001 ในปี 1988 แต่จากนั้นในปี 1994 จำนวนของการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 71,113 คัน แม้ว่า FERRARI จะผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก แต่ความสวยงามและความสมบูรณ์แบบก็ยังคงอยู่ครบถ้วน ซึ่งจะเห็นได้ว่ารถแต่ละคันถูกผลิตขึ้นมาจากการผสมผสานกันระหว่างความสวยงาม ของศิลปะและสมรรถนะของเครื่องยนต์ที่เหนือชั้น จึงนับได้ว่า FERRARI เป็นรถยนต์ที่สามารถใช้งานได้อย่างคุ้มค่าเกินราคา


ที่มา : https://sites.google.com/site/alleverythingpiece/prawati-ferrari